วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บัวรุ่ง บัวรื่น บัวรา บัวโรย

๑ อันดอกบัวบอกอะไรเราได้บ้าง..มีแตกต่างทางเทียบเปรียบเปรยได้
แต่ละคนแต่ละเพศแต่ละวัย..จักมองไปคนละมุมไม่ว่ากัน
๒ ถึงอย่างไรบัวยังบอกเป็นดอกไม้..ที่สดใสชวนชื่นตื่นตาฝัน
เป็นพืชน้ำบริสุทธิ์ผุดผ่องพรรณ..งามเหนือชั้นพันธุ์ใดในนที
๓ ในยามเช้ารีบบานรออรุณฉาย..พอตกบ่ายหุบกลีบรีบเข้าที่
ขืนบานสู้ต่อไปจักไม่ดี...แสงระวีบัวไม่กล้าท้าประจัน
๔ หลบเอาแรงแฝงร่างกลางคืนค่ำ..น้ำค้างฉ่ำชุ่มชื้นคืนสวรรค์
ตั้งตาคอยลอยคอล้อแสงจันทร์ ..แล้วเพ้อฝันหลับใหลในสายธาร
๕ เอาไว้รุ่งวันใหม่แสงไม่ร้อน..ค่อยตื่นนอนตอนแสงตาวันฉาน
ได้ไออุ่นก็กระเบงออกเบ่งบาน..จนแสงจ้านร้อนนักจักขอลา
๖ ครั้นรับแสงสดชื่นผ่านคืนวัน..จำเปลี่ยนผันไม่จีรังแปรสังขาร์
จากบัวรุ่ง บัวรื่น เป็นบัวรา..แล้วก็มาเป็นบัวโรยลงไปพลัน
๗ เรื่องแบบนี้บอกอะไรได้ไหมหนอ..จักคิดต่อออกไปอย่างไรนั้น
หรือคิดต่างอย่างไรใจต่างกัน..ถ้าคิดได้อย่างไรนั้นบอกกันที
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๓๐ ตุลา ๕๒

กล้า

.......จงกล้า
ที่จักทำเป็นขี้ขลาด
ในบางเรื่องที่คนทั่วไปยุให้กล้า
........จงกล้า
ที่จักป็นตัวของตัวเอง
แม้นานมาแล้วขลาดที่จักทำเช่นนั้น
.......จงกล้า
ที่จักนิ่งงัน
ทั้งที่ใจเต้นเร่าแลปากขยับที่จักวิวาทะแล้วก็ตาม
.......จงกล้า
ที่จักนั่งลง
แม้เท้าเรียกร้องให้ออกก้าวเดิน
........ควรกล้า
ในบางเรื่อง
ที่ไม่ทำให้ความกล้าของคนอื่นหมดความหมาย
แลไม่ทำให้ความขลาดแห่งตนเสียสมดุล
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๙ ตุลา ๕๒

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หม่นหมอง

กลางฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
กลับมีลมตะวันออกเฉียงใต้
พัดสวนขึ้นมารุนแรง
โหมกระหน่ำหนักหน่วง
ชาวบ้านชนบท...โจทย์ขาน
ว่าเป็นลมแห่งการร่ำลือ
สายลมสื่อสารให้รู้แล้วว่า..
ประติมากรรมศิลาโบราณ
....รู้สึกเศร้าแลหม่นหมอง
....เมื่อเห็นนกสองตัวกำลังวิวาทะ
โดยไม่รู้สาเหตุ
โดยลุแก่อารมณ์
....รู้สึกเศร้าแลหม่นหมอง
....เมื่อรู้ว่าสาวกรูปปั้นเล็กหลายตัว
ด่าทอเกรี้ยวกราดกันเนืองๆ
....รู้สึกเศร้าแลหม่นหมอง
....เมื่อเห็นไทรพฤกษา ที่อาศัยข้างประติมา
หยั่งราก แยงกิ่งก้านสาขา
ระรานกันแลกัน
....รู้สึกเศร้าแลหม่นหมอง
....เมื่อประจักษ์ชัดว่าสิ่งใกล้ตัว
ไม่ปรองดองกัน
ทั้งๆที่สืบเชื้อสายพงศ์เผ่าเดียวกัน
มาเนิ่นนานแต่อดีตโพ้น
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๗ ตุลา ๕๒

สลาย

การแตกสลาย....
แห่งมหาประติมากรรมยักษ์
มิใช่ถูกทุบทำลาย
โดยมือผู้ใด
....แต่เป็นด้วย
การระอุของเม็ดศิลาภายใน
นั่นเอง
การล่มสลาย.....
แห่งมหาอาณาจักร
มิใช่ถูกรุกรานจนพ่ายแพ้
จากอริศัตรู
.....แต่เป็นด้วย
ความแตกแยกแลขัดแย้ง
ของอณูดินแห่งมหาอาณาจักร
นั่นเอง
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๒๗ ตุลา ๕๒

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คนเขลา

....................นกใหญ่บินสูง
ลงมาหากินตามพื้นดิน
....................นกเล็กบินต่ำ
ขึ้นไปหากินบนยอดไม้
....................คนเขลา
กินนก
ทั้งนกเล็กแลนกใหญ่

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๔ ตุลา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แม่กทลี

๐ เกิดกลล์จนแก่กล้า....กายี
กษีระกับกทลี......... ก่อเกื้อ
กราบกรานกตเวที... ทุกเมื่อ
กกกอผลใบเอื้อ....เลิศล้ำคุณากร
ศักดิ์เรือง วลี บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๒๓ ตุลา ๕๒

อาคม

.............ณ ที่ที่ฉันอยู่
.............ณ ที่ที่ฉันเป็น
ยังมีความห่วงใยจากเงามืด
แทรกผ่านอากาศออกมาสม่ำเสมอ
"ระวังนะ..ลมมันแรง"
ฉันตอบในใจ
"ไม่เป็นไร ตัวฉันไม่รับแรงลมอยู่แล้ว"
"ระวังนะ..คลื่นมันแรง"
"ไม่เป็นไร ตัวฉันไม่รับแรงคลื่นอยู่แล้ว"
"ระวังนะมันมืดมิดนะ"
"ไม่เป็นไร ตัวฉันพอจะมีแสงสว่างในตัวอยู่บ้าง"
........ยังมีคำและความห่วงใยตามมาอีกมากมาย
ขอบคุณความห่วงใยจากเงามืด
.......และฉันก็อดที่จะขอบคุณในคาถาอาคมของตัวเองไม่ได้เช่นกัน

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๓ ตุลา ๕๒

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หลอนและลวง

............ทุกเสี้ยวเวลา
มันเป็นช่วงขณะที่หลอนใจ
จากทั้งในอดีตแอนาคต
เพียงแต่มัน....
สะท้อนผ่านช่วงเวลา ณ ปัจจุบันเท่านั้น
............ทุกเหตุการณ์
มันเป็นเพียงภาพลวงตา
ที่มันสะท้อนผ่านความเป็นจริง

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๒๒ ตุลา ๕๒

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รอคอย

๐ ที่นาดอนตอนนี้มีต้นข้าว
แตกกอพราวราวพรมหนาทาสีเขียว
กระท่อมน้อยหงอยเหงาเศร้าจริงเจียว
รอหน้าเกี่ยวเคียวกับคนวนคืนมา
๐ ยังรอคอยรอยคนบนกระท่อม
เคยแวดล้อมย่อมจักครวญแลหวนหา
อีกไม่นานผ่านพ้นพฤศจิกา
เข้าธันวาถ้าโชคดีมีบุญลาน
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๑ ตุลา ๕๒

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ย้อน

..............เมื่อพวกแมลงปอแลผีเสื้อ
มีร่างกายที่ใหญ่โตขึ้นราวกับยักษ์
มนุษย์จักดูเล็กลงไปโดยปริยาย
.............ความใฝ่ฝันทะเยอทะยานของมนุษย์
ไม่คยหดหายฤามอดดับไป
แต่ทิศทางมักวกวน
ในที่สุดจักย้อนกลับ
..............มนุษย์วัยเยาว์ในยุคนี้
ถูกป้อนอาหารของปีศาจ
โดยปีศาจ
ความกตัญญูแม้คงอยู่
แต่สำนึกนั้นสีดำ
...............นำไหลทวนขึ้นที่สูง
ปลายังคงว่ายทวนน้ำเหมือนเคย
ปลายทางที่หวังเพาะพันธุ์
จึงหมายถึงทะเลมรณะ
...............การเสาะแสวงหา
เป็นคุณสมบัติที่นำพามนุษย์
ให้สามารถรักษาเผ่าพันธุ์ได้ยืนนาน
จนในที่สุดกำลังตกหลุมพรางที่พวกตนขุดเอาไว้
...............โลกแม้หมุนไปทางใด
ไม่วายที่จักดำรงสัจจธรรม....
ในสองสิ่งที่ตรงกันข้าม
ขาว-ดำ สว่าง-มืด
ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์
เดินหน้า แลย้อนคืน

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๑๘ ตุลา ๕๒

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จากแม่ยาง ถึง ลูกยาง

๑ ฉันคือแม่ยางนาอายุมาก...........แสนลำบากยืนต้นทนร้อนหนาว
ได้รับรู้หลายเหตุการณ์ผ่านเรื่องราว..มายืนยาวหลายชั่วอายุคน
๒ บ้านเกิดฉันเขาเรียกว่า"ป่ายางใหญ่..มองทางไหนมีแต่ยางที่ยืนต้น
มีไม้อื่นแซมบ้างทั้งล่าง-บน...........ที่ชุมชนได้อาศัยใช้สอยกัน
๓ ป่ายางใหญ่เป็นสังคมอันสมบูรณ์..ที่เกื้อกูล พืช-สัตว์ อยู่สุขสันต์
พร้อมชีวิตอีกมากมายหลายสายพันธุ์..อยู่ร่วมกันมั่นคงและลงตัว
๔ ครั้นต่อมามีคนคิดไม่ซื่อ..........ใช้เครื่องมือระรานผลาญไปทั่ว
ไม่เป็นมิตรซ้ำทำลายให้น่ากลัว.....ป่าทั้งป่าหมองมัวในไม่นาน
๕ บรรพบุรุษของฉันนั้นถูกตัด......ผืนป่าใหญ่ถูกจัดเป็นหมู่บ้าน
ป่าไม้หมดฝนแล้งแห้งกันดาร........ฝูงสัตว์ซ่านไม่มีที่ซุกนอน
๖ พวกผักหวานเห็ดป่ามาสูญพันธุ์..สมุนไพรสารพันถูกทึ้งถอน
ไม่เหลือหลอพอให้ไว้แซมดอน.....อากาศร้อนดินระแหงแล้งทั้งปี
๗ เหลือเพียงฉันยืนโด่เด่เซจวนล้ม...มีปูดปมแผลเป็นเห็นไฟจี้
เขาเจาะโพรงสุมไฟไม่ปราณี.........เอาของดีน้ำมันยางที่ข้างโคน
๘ ไม่มีฝั่งก็เหมือนไม้ที่ใกล้ฝั่ง.....จึงฝากฝังลูกลูกก่อนถูกโค่น
ติดปีกแดงหวังให้ลูกถูกลมโยน......ไปไกลโพ้นสร้างป่าใหม่ให้งดงาม
๙ ให้ลูกไปก่อร่างตั้งรกราก..........ในที่ดินที่รกร้างมีล้นหลาม
พวกเศรษฐีซื้อทิ้งไว้ไม่ติดตาม.......ทั่วเขตคามไร้ค่าน่าเสียดาย
๑๐ อีกทั้งป่าสิ้นสภาพลงราบแล้ว..ให้ลูกแก้วมองเห็นเป็นที่หมาย
บินให้ไกลไปให้ถึงจึงหย่อนกาย.....สร้างเครือข่ายป่ายางอย่างคะนอง
๑๑ ลูกที่เหลือหมุนปีกแดงให้แรงไว้..จงร่อนไปในที่มีเจ้าของ
ขออาศัยแพร่พันธุ์อันหมายปอง......แล้วตอบแทนผู้เกี่ยวข้องให้คุ้มกัน
๑๒ เมื่อเติบใหญ่ให้ระวังอันตราย...คนเขาหมายรุกทำลายให้สะบั้น
นำเครื่องมือบุกเข้าล้างเผ่าพันธุ์......จนเรานั้นเหลือเพียงชื่อคือ"ยางนา"
๑๓ ให้ต่อต้านดื้อดึงถึงที่สุด..........แม้มนุษย์ส่วนหนึ่งถึงหยาบช้า
ยังมีคนส่วนใหญ่ใจเมตตา.............ควรร้องขอให้กรุณาคุ้มครองเรา
๑๔ จงป่าวร้ององค์กรนานาชาติ.....ที่องอาจพิทักษ์โลกก่อนร้อนเร่า
ช่วยหาทางป้องกันและบรรเทา......เพื่อพงษ์เผ่า "ยางนา" สถาพร
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๑๔ ตุลา ๕๒

พึ่งพรพระ

๐ วันวันวนวุ่นว้า วิงเวียน
สบสิ่งเสียดสีเศียร สุดเศร้า
อึดอัดอบอวลเอียน อกอ่วม
ยอมอยู่โยงยังเหย้า อย่าย้อนหยามหยัน
๐ เรือนรังรอนรุ่มร้อน โรยรา
หายห่วงเหหันหา หับห้อง
พบพระพอพึ่งพา พรพุทธ
ขืนข่มขมขัดข้อง ขวัญเข้มแข็งขัน

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๑๔ ตุลา ๕๒

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ระเบิด ระบาด

๑ มือระเบิดระบาดบ้า......ปาระเบิด
ดังว่ากลียุคเกิด.............ทั่วหล้า
สันติธรรมที่เคยเทิด......ถอยถด
คนเถื่อนโหดหยาบช้า...หมดสิ้นปราณี
๒ โลกเจริญอย่างนี้........ไฉนคน
จึงถ่อยทรามสุดทน.......รับได้
ทุกปัญหาควรหา หน-...ทาง พูด
เจรจาต่อกันไซร้............เพื่อให้เข้าใจ
๓ หวังชนะฝ่ายตรงข้าม...ควรตรอง
ขันแข่งตามครรลอง.......ที่ใช้
มิใช่ทำจองหอง.............หฤโหด
เอาชนะคะคานได้.........โดยใช้ระเบิดบอมบ์
๔ คราวแพ้ควรรู้แพ้.........รู้ชนะ
จงอย่าดันทุรัง ระ-.........ราน ค้าน
พ่ายในเกมควรจะ..........รับพ่าย
ใช่ระเบิดตูมต้าน............ขี้แพ้ชวนตี
๕ บางคนใหญ่คับบ้าน....คับเมือง
ใครว่าทำเป็นเคือง.........ขุ่นข้อง
เห็นกันอยู่เนืองเนือง......ในข่าว
ปาระเบิดกึกก้อง............ขู่ให้เขากลัว
๖ บางพวกคนคลั่งไคล้....ลัทธิ
จอดคาร์บอมบ์ยาก นิ-...วัติ กู้
จุดชนวนจน พิ-.............ฆาต หมู่
แถมประกาศให้รู้............ว่าข้าฯกลุ่มใด
๗ ระเบิดมีแหล่งค้า.........ลอบขาย
ซื้อหากันง่ายดาย...........ดั่งผ้า
เป็นตลาดแห่งความตาย..มีเกลื่อน
คนผลิตกับคนค้า...........อยู่ได้อย่างไร
๘ กฎหมายเอาผิดได้......ก็จริง
ใยระเบิดยังคงสิง...........ซ่อนได้
เชื้อโรคตัวเล็กยิ่ง...........ยังตรวจพบ
ระเบิดอันใหญ่ไซร้........ซุกพ้นสายตา
๙ ชีวิตประจำวันนี้..........หวาดผวา
ยืน นั่ง เดิน ไปมา........เสี่ยงแท้
เด็กเล็ก คนชรา...........ไม่เลือก
ตูมตามหมดทางแก้......ไม่พ้นถูกสังหาร
๑๐ วิงวอนหยุดผลิต-ใช้..เสียที
ใครย่อมรักชีวี................ทั้งนั้น
มาช่วยสรรสิ่งดี............แก่โลก
หากระเบิดกันสะบั้น.....โลกนี้แตกสลาย

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๑๓ ตุลา ๕๒

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จุติจากฟ้า

ตาวันลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบวังเวง
เดือนยังทอแสงพราว
ดาวมากมายแข่งกันทอรัศมี
หิ่งห้อยไม่ยอมน้อยหน้า
...แม้แสงจะด้อยกว่า
แต่ก็อาศัยพลังสามัคคี..พอได้แสงเรืองเรืองขึ้นมาอวดบ้าง
................น่าแปลกดี
ในค่ำนี้แม้ลมสงบ....
แต่คลื่นในทะเลกลับป่วนปั่น
โหมเข้าหาฝั่งอย่างคะนอง
ฝูงปลาไม่วิตก...กลับเริงร่า ระรื่นใจ
กลีบดอกไม้สั่นไหวระริก
....ชายฝั่งแช่มชื่น
จนเกือบค่อนคืน
.....มีคนสองคนในหมู่บ้าน.....ที่ไม่ได้หลับใหล
ดวงดาวยังคงเริงร่า
....แต่ทว่ามีดาวบางดวงตกลงมา
หมู่ดาวแอบซุบซิบกัน
...ว่า...คืนนี้มีการจุติเกิดขึ้นที่บนฟ้า

..............และแล้วคลื่นทะเลสงบลง
ฝูงหิ่งห้อยชวนกันบินจากไป
ฝากเสียงสั่งลาว่า...อีกไม่นานจะกลับมา
เมื่อได้ยินว่า........................
............มีข่าวดีเกิดขึ้นในหมู่บ้านทะเลป่วนแห่งนี้

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๑๑ ตุลา ๕๒

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฝนสั่งฟ้า ฝากคน

๑. ฟังฝนฝืนสั่งฟ้า............ฝากคน
ครืนคร่ำครางลมบน......หวนไห้
ลมเหนือเร่งรัดจน.........ป่วนปั่น
เสียงสั่งยังยินได้..........."ไม่ช้ากลับคืน"
๒. ดอกปีบสะพรั่งพร้อม....โบกลา
ขาวไสวละลานตา........ร่วงพื้น
ดอกบัวเบียดบานหนา...เนืองแน่น
รอรับฝนฉ่ำชื้น..............ก่อนสิ้นวสันต์
๓. ทองกวาวสะบัดทิ้ง.....ใบรอ
ใบผลิมากเกินพอ..........ปกต้น
เตรียมตัวก่อนถักทอ.....แทงช่อ
ยามเมื่อโคลนขุ่นข้น....ดอกได้บานไสว
๔. พวกแพงพวยผักบุ้ง...ทนทาน
ผลิตเมล็ดอย่างเชี่ยวชาญ...ซ่อนไว้
รอฝนมาสมาน..............งอกใหม่
ยามน้ำนองค่อยให้.......เถาเลื้อยอีกหน
๕. โคนโสนเห็นห่มผ้า....ขาวขาว
โอบรอบพันตัวพราว.....อวบอ้วน
ธรรมชาติลงตัวราว.......มีบท
ปิด-เปิดฉากครบถ้วน...เล่นได้สมบูรณ์
๖. กอไผ่พักหน่อไม้.......นางดิน
หยุดงอกหยุดถวิล.......สั่งได้
ใบร่วงพรูยามยิน..........ฝนสั่ง
ทุกอย่างจัดการให้......ทันต้นเหมันต์
๗. ศิลปินจากฟากฟ้า....ลงสี
เหลืองเรือง-เขียวขจี...วาดด้าว
รวงเอยถูกแปลงศรี......สวยสง่า
ใจชื่นยามยอดข้าว......ถูกป้ายเป็นทอง
๘. ฝูงปลาตัวใหญ่น้อย..สำทับ
เร่งปีนคันนาลับ...........ไม่ล้า
หนองบึงบ่อเดิมกลับ....ทางเก่า
ขืนอยู่มัวชักช้า............โคลนแห้งแข็งตาย
๙. ฝนมามีมากน้อย.......ต่างกัน
บางถิ่นถูกโรมรัน.........ท่วมท้น
บางที่ก็สุขสันต์...........สมค่า
ทุกสิ่งมีคุณล้น............มีทั้งโทษทัณฑ์
๑๐. จึงฝากเสียงสั่งย้อน...สู่ฝน
ฝนเอยกลับเวียนวน.....ศกหน้า
วานฝนแบ่งปรุงปรน....ปันเท่า
ทุกแห่งในผืนหล้า......ทั่วถ้วนเทียมกัน
๑๑. ยินฝนร้องสั่งบ้าง....ถึงมนุษย์
"หยุดเถิอพากันหยุด-.ตัดไม้"
"หยุดเผาทำลาย หยุด- ผลาญป่า"
"ปลูกป่ากันมากไว้.....(จึงจะ)รับไว้พิจารณา"

ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๑๐ ตุลา ๕๒

มะนิยม

๐ คนนิยมปลูกต้นไม้ ......นามมงคล
เห็นอยู่ทุกแห่งหน.........รอบบ้าน
มีมะยมแม้ออกผล.............ดกดื่น
หากวาจาจัดจ้าน ....เผ็ดเปรี้ยวใครนิยม
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๑๐ ตุลา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นักเดินทาง กับทางต่างระดับ

๑. เมื่อเส้นทางสองเส้นทางต่างระดับ
ไม่มีใครบังคับให้ทับเส้น
สองเส้นทางต่างครรลองสองประเด็น
แต่ที่เห็นทำหน้าที่มิต่างกัน
๒. เพียงต้นทางแตกต่างมาแต่ต้น
มีวกวนเวียนวกมีผกผัน
มีทางเลี้ยวเคี้ยวคดมีกดดัน
ที่สำคัญคือเป้าหมายที่ปลายทาง
๓. ต่างทอดไปสู่สุดท้ายเป้าหมายหลัก
ต่างรู้จักจุดมุ่งไปอยู่ไกลห่าง
ผู้เดินทางสองสายหมายตามทาง
เพื่อไปสร้างเมืองวิไลให้งดงาม
๔. ผู้เดินทางสองทางต่างความคิด
บรรทัดฐานถูกผิดตรงกันข้าม
วิธีเดินวิธีถอยไม่คล้อยตาม
ก็ชอบธรรมจำต้องเดินคนละทาง
๕. จึงหนทางทอดขนานนั้นไม่แปลก
ถึงมีแยกเข้าออกทางด้านข้าง
มีทางอื่นสวนบ้างกลางเส้นทาง
แต่หลักการผู้เดินทางต่างอยู่ดี
๖. ครั้นมาถึงช่วงทางที่วิบาก
เกิดคิดอยากเชื่อมทางกันเสียนี่
เห็นเป็นแพร่งแปลกแยกไปไม่เข้าที
ต้องหันรีหันขวางเป็นบางคน
๗. นักเดินทางหลายคนบ่นโวยวาย
บ้างแยกซ้ายแยกขวาโกลาหล
บ้างตัดใจสร้างทางเฉพาะตน
ให้ชอบกลยิ่งหนักนักเดินทาง
๘. อยู่ตรงไหนสิ่งศรัทธามาแต่ต้น
ฤาเป็นเพียงผู้ดั้นด้นไม่เลือกข้าง
เป็นได้เพียงคนสัญจรที่เคว้งคว้าง
ภาพจุดหมายปลายทางคงเลอะเลือน
๙. ......................นักเดินทางเอ๋ย
กระไรเลยจะมหาหลงตรงทางเลื่อน
ฤาสติตีบตันจนฟั่นเฟือน
ลืมขับเคลื่อนลับคมอุดมการณ์
๑๐. เดินเดินเดิน...เดินทางต่อไปเถิด
จงชูเชิดธงชัยใจอาจหาญ
เจอวิบากทำท้อใจไม่ได้การ
เห็นทางผ่านพาลเลี้ยวหนีมีเลศนัย
๑๑. ผู้เดินทางต่างเส้นเป็นคู่แข่ง
อย่าแสดงเป็นศัตรูมันไม่ใช่
ต่างฝ่ายก้าวต่างฝ่าฟันกันต่อไป
ถึงเส้นชัยให้เร่งสร้างสิ่งสวยงาม
................................................
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๙ ตุลา ๕๒


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่อง เด็ก-เด็ก

๑. ทุกคราที่ยินข่าว ถึงเรื่องราวของเด็กไทย
หลายครั้งพวกเขาไป คว้ากำชัยในต่างแดน
๒. แข่งขันหลายสาขา ยืนแถวหน้าเก่งสุดแสน
เด็กดีไม่ขาดแคลน ในสังคมของเมืองเรา
๓. บางกลุ่มสำนึกดี ใช้ชีวีไม่โง่เขลา
รวมพลังเพื่อบรรเทา ช่วยปัดเป่าภัยสังคม
๔. คิดดีทำดีได้ น่าชื่นใจเจตนารมณ์
ผู้ใหญ่ได้ชื่นชม ไม่มีปมให้ประจาน
๕. เป็นศรีเป็นสง่า เป็นศรัทธามาประสาน
สืบทอดกิจการ รับช่วงผ่านประเทศไทย
๖.........................(แต่ทว่า.....)...............................
กลุ่มดีมีเพียงน้อย เป็นกลุ่มย่อยในกลุ่มใหญ่
เทียบส่วนยังด้อยไป กว่าพวกไข้ทางวิญญาณ
๗. ส่วนมากยังมึนมั่ว ยังมืดมัวอยู่ในม่าน
นักเลงอันธพาล คอยเป็นมารทางสังคม
๘. มั่วสุมยาเสพติด คิดผิดผิดจิตขื่นขม
เลอะเลือนและระทม ติดปลักตมอันตราย
๙. มุ่นมั่วอบายมุข พิษกามทุกข์จนเกินสาย
จี้ปล้นฆ่าคนตาย เป็นดาวร้ายอายุเยาว์
๑๐. ไม่เรียนเวียนไปเอม เล่นแต่เกมทุกค่ำเช้า
แต่งตัวเลียนแบบเขา ไม่ยอมเอาแบบอย่างไทย
๑๑. ทำตนไม่น่ารัก เป็นปรปักษ์กับผ้ใหญ่
ไม่ว่าครูหรือใครใคร หนักอกใจจนระอา
๑๒. ไม่มีคารวะ แม้เห็นพระไม่สัมมา
โหดหื่นห่ามนักหนา มีแต่บ้าเต็มบ้านเมือง
๑๓. ......................(ขอวิงวอน.....)......................
ขอวอนเด็กวันนี้ คิดให้ดีใช่สร้างเรื่อง
ติติงอย่าขุ่นเคือง ขอให้เปลื้องสิ่งไม่ดี
๑๔. กลับตัวและกลับใจ ทำตัวให้มีศักดิ์ศรี
ละชั่วล้างชีวี ให้โลกมีแต่สิ่งงาม
๑๕. กลับเถิดยังไม่สาย สิ่งท้าทายลองไถ่ถาม
ฝั่งดีหรือฝั่งทราม ที่ต้องข้ามไปครอบครอง
๑๖. ฝันใฝ่กันไว้เถิด มุ่งชูเชิดเฉลิมฉลอง
ดาวสุกใสให้ใฝ่ปอง มาปกป้องคุณความดี
๑๗. อนาคตประเทศชาติ เราไม่อาจหลบหน้าหนี
ฝากไว้รักษ์ให้ดี ให้คงมีค่าและคุณ
๑๘.....................(ขอทีเถิด.......).......................
ผู้ใหญ่พวกกังฉิน ชอบหากินกับวัยรุ่น
กิจการที่ลงทุน อย่าหวังลุ้นแต่กำไร
๑๙. ค้าขายมอมเมาเด็ก ตั้งแต่เล็กไปจนใหญ่
ผลพวงเป็นเช่นไร ไม่ใส่ใจไปดูแล
๒๐. หากปล่อยเป็นเช่นนี้ คงไม่ดีเป็นแน่แน่
สังคมควรต้องแคร์ พร้อมร่วมแก้ร่วมป้องกัน

กาพย์ยานี ๑๑ โดย ศักดิ์เรือง วลี / ๗ ตุลา ๕๒



วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฮวงจุ้ย

ฉันปลูกต้นไม้ไว้หน้าบ้าน
ฉันปลูกต้นไม้ไว้หลังบ้าน
ฉันปลูกต้นไม้ไว้ข้างบ้าน
ฉันปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้าน
.....ฉันมีต้นไม้ที่ระเบียง
.....ฉันมีต้นไม้ที่ในห้อง
.....ฉันมีต้นไม้ที่ข้างบรรไดบ้าน
มองไปที่ไหนก็เต็มไปด้วยต้นไม้
นี่คือหลักฮวงจุ้ยของฉัน
เพราะฉันมีความเชื่อว่า
ต้นไม้ย่อมซึมซับสิ่งชั่วร้ายจากนอกบ้านเอาไว้ได้
...เพื่อไม่ให้ล่วงกรายเข้ามาในบ้านของฉัน
ฉันเชื่ออีกว่า ต้นไม้สามารถเก็บรักษาสิ่งดี
....ให้คงอยู่ในบ้านฉันได้
.....รวมทั้งสามารถดูดดึงเอาความดีจากข้างนอกถ่ายเทเข้าสู่บ้านฉันได้
สายลมและสายน้ำ...ย่อมไหลรื่นเข้าออก
ผ่านต้นไม้ได้เสมอ
ศักดิ์เรือง วลี /๕ ตุลา ๕๒


วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ผิดหวัง

๑. วาดหวังวิลาสไว้........ในใจ
อยากเห็นโลกวิไล.........กว่านี้
ทุกสิ่งที่เป็นไป..............ในโลก
เดินสู่ทางที่ชี้................เลื่อนชั้นอารยะ
๒. ปัญหาใดใหญ่น้อย....โรมรัน
พลโลกรุมฝ่าฟัน...........รอบด้าน
รวมพลังอย่างแข็งขัน...เครือข่าย
ตามติดตามต่อต้าน......ตอบโต้ปัญหา
๓. การทะเลาะเบาะแว้ง..หวังเมิน
การวิวาทการเผชิญ......ไม่ใช้
การรบพุ่งยับเยิน..........ยุติ
มีแต่ไมตรีให้................หันหน้าเจรจา
๔. ทุกประเทศเลิกใช้...อาวุธ
นิวเคลียร์ชวนกันหยุด..ติดตั้ง
ปัจจัยสี่สูงสุด..............ร่วมผลิต
อาหาร-ยา-นุ่งห่ม ทั้ง...เร่งสร้างที่อาศัย
๕. ทรัพยากรของโลกพร้อม..หวงแหน
ทุกประเทศเปิดเขตแดน..ไม่กั้น
มีหนึ่งเดียวแว่นแคว้น...คือ "โลก"
ขาดเหลือสิ่งใดนั้น .....แบ่งให้ปูนปัน
๖. คนรวย-จน อยู่ใกล้..ไม่ไกล
ช่องว่างทลายไป.........ชนชั้น
ทุกคนต่างทำใจ..........จิตมั่น
ต่างชาติ-ภาษานั้น.......เสมอค่าเป็นคน
๗. การเอาเปรียบหมดสิ้น..ไม่มี
เห็นแต่มิตรไมตรี..........พี่น้อง
ทุกชาติทุกชีวี.............รวมหนึ่ง
รักษ์โลกร่วมปกป้อง....สิ่งร้ายกรายมา
๘. หวังว่ายุคใหม่นี้.....โลกเจริญ
ความขัดข้องขาดเขิน..คงไร้
หื่นโหดคงห่างเหิน.....หายหด
เถื่อนป่าปนบ้าใบ้........คงสิ้นเสียที
๙. ความจริงไม่เพริดแพร้ว..อย่างคิด
คนยิ่งใจอำมหิต.........โหดร้าย
แบ่งแยกพาลพิชิต......ไม่เลิก
กระหายสงครามคล้าย.ชอบแว้งราวี
๑๐. เจรจากันไม่รู้.........ภาษา
ต่างก็อวดศักดา ........เก่งกล้า
แย่งชิงทรัพยา-.........กร มั่ว
มือใครยาวยื่นคว้า......สาวได้สาวเอา
๑๑. ทุนทุ่มทำแต่ด้าน..อาวุธ
แสนยากรสูงสุด........เร่งสร้าง
ลืมเรื่องยังชีพ หยุด-.อดอยาก
คิดแต่ทำลายล้าง.....ต่อสู้เอาชัย
๑๒. ผิดหวังกับยุคนี้...เหลือประมาณ
เขียนกลอนมาประจาน..จดไว้
เผื่อมนุษย์คิดประสาน..กันใหม่
หันกลับรักกันได้......เพื่อให้โลกสุขศานติ์
ศักดิ์เรือง วลี /๕ ตุลา ๕๒

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

น้ำไปน้ำมา น้ำมาน้ำไป


๑. ยามดินแห้งแตกระแหงน้ำระเหย
อย่างเคยเคยซ้ำซากวิบากบ้า
โอ้อกใจหมั่นทำใจให้ชินชา
เหลือระอาอกช้ำจำต้องทน
๒. เพื่อนเดินทางที่อบอุ่นชื่อฝุ่นแดง
ตลอดแล้งตกอับสุดสับสน
ใจอ่อนเปลี้ยเสียขวัญมันมืดมน
"เกิดเป็นคน มันต้องทน" หมั่นท่องจำ
๓. เหมือนฝันร้ายนั่งผวาห้าหกเดือน
ฟ้าสะเทือนฝนร้อยห่าบ้าระห่ำ
หนแรกแรกหล่นหายหลายหนพรำ
พอได้ดำนาดอนตอนต้นปี
๔. พอพืชพรรณเขียวเหลืองเริ่มเรืองรอง
กำลังแปรเป็นทองอย่างเต็มที่
กำลังเพ้อกำลังเพลินเกินฝันดี
ฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่กลางฝันเลย
๕. ข่าวน้ำป่าไหลบ่ามาอีกแล้ว
คงไม่แคล้วช้ำฟกโอ้อกเอ๋ย
ถึงเคยผ่านความช้ำระกำเกย
มาจนเคยจนชินก็ไม่ชา
๖. ด้วยว่า..ทั้งชีวิตหลายชีวิต
ต่างผูกติดกับทุ่งนี้มานานช้า
มอบทั้งมวลฝากไว้ในท้องนา
จนปัญญาหาอื่นปักเป็นหลักแทน
๗. ไม่ทันนานหวังละลายกับสายน้ำ
ต้องระกำระเหินระหกจุกอกแน่น
หอบชีวิตหิ้วสังขารอันแร้นแค้น
รีบวิ่งแจ้นหาฝั่งนั่งระทม
๘. พอน้ำกลืนทั้งย่านอย่างกระหาย
เซาะเอาทรายปนดินโคลนมาทับถม
ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าพระยายม
พร้อมเพิ่มรอยระบมบนแผลเดิม
๙. พอน้ำมา น้ำก็ไปไม่เคยสั่ง
บทจะคลั่งก็โหมมาบ้าฮึกเหิม
ยังสงสัยไฉนโหดแบบเดิมเดิม
ไม่สร้างเสริมแบบใหม่ให้เป็นธรรม
๑๐. หลักแรงกลย่อมแสดงแรงโน้มถ่วง
ของเหลวย่อมไหลล่วงลงที่ต่ำ
ไยไม่มีใครคิดดักตักตวงน้ำ
ก่อนมันล้ำไหลส่งลงทะเล
๑๑. เดี๋ยวประกาศภัยแล้ง-ภัยน้ำท่วม
ดูภาพรวมเห็นยึกยักทำหักเห
ความเคลื่อนไหวแบบซ้ำซ้ำดูจำเจ
ไม่ทุ่มเททำงานเพื่อการณ์ไกล
๑๒. เมื่อน้ำมากักน้ำไว้เอาให้อยู่
ไว้ชุบชูชีวีขึ้นมาใหม่
ยามแล้งร้อนมีน้ำฉ่ำชื่นใจ
พอได้ใช้ประทังยังชีพคน
๑๓. การสร้างอ่างเก็บน้ำจำเป็นยิ่ง
เพราะเป็นสิ่งสนองเจตน์มีเหตุผล
ทั้งตอบโจทย์ตรงได้ไม่วกวน
อยากให้คนที่เคยค้านอ่านทวนดู

ศักดิ์เรือง วลี /๓ ตุลา ๕๒



วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ดินบวกฟ้า

๐ หยัดยืน ยื่นหัว สู่หาว
ขอดาว ขอดี ที่ฟ้า
ขอหวาน ขอมัน สรรมา
ปรุงค่า เคียงคุณ ของดิน
๐ แดดลม ผสมผสาน
เก็บกาล เวลา ถวิล
แต่งรส เติมชาติ ชีวิน
เอาดิน บวกฟ้า มานาน
๐ ผลพวง เกื้อหนุน คุณค่า
นำพา ให้โลก สืบสาน
สิ่งดี สิ่งงาม เบิกบาน
เจือจาน เป็นอยู่ ผู้คน
ศักดิ์เรือง วลี /๓ ตุลา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตะวันหม่น

.....แม้ว่าในวันนี้
ท้องฟ้ายังเป็นสีฟ้าเข้ม
แต่แสงตะวันดูเหมือนจะหม่น
แสงตะวันไม่สว่างเมื่อกลางวัน
กลางคืนยังพอมีแสงเดือนแสงดาว
ส่องแสงพราวระยิบอยู่บ้าง
ไฉนค่าจะเท่าเสี้ยวแสงตะวัน
.....ขอเทพเทวา
คืนแสงจ้าให้แก่ดวงตะวัน
คืนสุขคืนหวังให้แผ่นดิน
คืนชีวิตชีวา
คืนความเป็นไปของส่ำสัตว์แลพืชพรรณ
......ด้วยว่าแสงใดใด
มิอาจเทียบค่า...
................แสงตะวัน
ศักดิ์เรือง วลี / ๒ ตุลา ๕๒