วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดอกไม้บนยอดภู

ดอกไม้บนยอดภูผา
หยั่งรู้หรือไม่
ถึงฟอนไฟใต้ภูเขา
จะอย่างไร
เจ้าก็รู้จนได้
เมื่อถึงวันไฟระอุพุ่งพวยขึ้นมา
ศักดิ์เรือง วลี / ๑ กรกฎา ๕๒

เม็ดฝน

นับเม็ดฝนเท่าไรนับไม่ถ้วน
นับทบทวนอย่างไรนับไม่ครบ
แต่ถ้านำถังมารองก็ตรองจบ
ทำให้พบความจริงในสิ่งนี้

ศักดิ์เรืองวลี /๑ กรกฎา ๕๒

ฝัน

๐ ความใฝ่ฝันของฉันยังมั่นอยู่
ความเพ้อฝันยังคงคู่อยู่ในฝัน
ถึงอย่างไรฝันทั้งสองต้องสัมพันธ์
นัยสำคัญเป็นแนวทางสร้างความจริง

ศักดิ์เรือง วลี /๑ กรกฎา ๕๒

พอใจแล้ว

เพื่อนคนหนึ่งตั้งคำถามกับฉันว่า..
...หากเนรมิตต้นไม้ใหม่ได้
ต้องการสร้างต้นไม้แบบไหน..
ฉันตอบโดยไม่ลังเล
...ในโลกที่เราอยู่นี้ มีต้นไม้เพียงพอแล้ว
...ไม่จำเป็นต้องสร้างแบบใหม่ขึ้นมา
...ขอเพียงไม่ให้มันหายไปก็พอ

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ มิถุนา ๕๒

พอใจแล้ว

เพื่อนคนหนึ่งตั้งคำถามกับฉันว่า..

...หากเนรมิตต้นไม้ใหม่ได้

ต้องการสร้างต้นไม้แบบไหน..

ฉันตอบโดยไม่ลังเล

สุนัขกับเงาของผีเสื้อ

สุนัขวิ่งไล่เงาเคลื่อนไหวของผีเสื้อ
ขณะที่แสงแดดยังคงร้อนแรง
ผีเสื้อโบยบินฝ่าแสงแดด
....หาใช่เสน่หาดอกไม้
แต่เป็นสัญขาตญาณดำรงชีพ
สุนัขเริงร่า
...รู้สึกสมใจ
แต่ความจริงก็แค่คว้าไขว่ไปตามเงา
เท่านั้นเอง

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ มิถุนา ๕๒

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความใฝ่ฝัน

๐ อยากมีวาจา ประกาศิต
มีฤทธิ์มีเดช เวชขลัง
จักลั่นวจีไม่ยั้ง
มุ่งหวังให้คนจริงใจ
๐ อยากให้มีมนต์ดลจิต
จักคิดเสกคนด้วยไสย์
ร่ายเป็นคาถาเป่าไป
เพื่อได้จริงใจทุกคน
๐ ถ้าแม้นกราบไหว้วิงวอน
โอนอ่อนโน้มใจได้ผล
จักไหว้จักชวนมวลชน
เปรอปรนจริงใจให้กัน
๐ อยากมียาดีวิเศษ
แก้เหตุขัดแย้งแข่งขัน
กินแล้วจริงใจได้พลัน
จักให้ยานั้นแก่คน
๐ อยากมีอำนาจราชสิทธิ์
พิชิตด้วยเหตุด้วยผล
บัญชาอุ้มชูผ้คน
ฝึกฝนจริงใจไปนาน
๐ อยากมีทรัพย์เกินเงินทอง
เนืองนองมากมายไพศาล
จ้างได้จ่ายไปบันดาล
ทุกท่านจริงใจสัจจา
๐ อยากมีทั้งเล่ห์แลกล
มีมนต์ อำนาจวาสนา
จักใช้ให้เต็มอัตรา
เพื่อว่า"จริงใจ"เกิดมี
๐ แต่แล้วมิอาจเป็นได้
ด้วยไร้ทั้งศักดิ์ทั้งศรี
ทำได้เพียงร่ายกวี
แทนวจี"จริงใจ"วอนมา

ศักดิ์เรือง วลี" /๒๙ มิถุนา ๕๒

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดอกไม้ในสวน

จันทร์เจ้าขา

๐ จันทร์เอ๋ย จันทร์หม่น
ขอผู้ขอคน ไว้เป็นผ้คน
อย่าให้เป็นผี
๐ จันทร์เอ๋ย จันทร์โศก
ขอโลกทั้งโลก เป็นโลกอย่างนี้
อย่าให้เป็นที่ ทดลองอาวุธ
....อย่าให้เป็นที่
ทดลองความตาย

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

จันทร์เจ้าขา

ทะเลแห่งความหลัง

ทะเลแห่งนั้น
เงียบสงบ อ้างว้าง โดดเดี่ยว
หลังจากคลื่นลม โถมกระหน่ำ
จนเรือลำหนึ่งอัปปาง
ในเรือลำนี้
มีผ้โดยสารไม่มากนัก
และมาจากที่ต่างๆกัน
บ้างชื่อ "ความรัก" บ้างชื่อ "ความหวัง"
บ้างชื่อ "ความสุข" บ้างชื่อ "ปรารถนา"
ผ้โดยสารเหล่านั้น จมลงก้นทะเลลึก
อย่างที่ไม่มีใครสามารถช่วยไว้ได้ทัน
ถึงอย่างไรทะเลแห่งนั้น
ก็ยังไม่ขาดผ้มาเยือน
ทะเลเอ๋ยเจ้าควรยินดี
ที่มีผ้มาเยือน
แม้จะไม่ชอบ..ก็เถอะนะ
ทะเลแห่งความหลัง

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

ลำห้วยท่หายไป

๑. จากภูผาผ่านป่าไปหาห้วย
ปรุงป่าสวยห้วยใสให้ความหวัง
น้ำซึมซับแทรกผืนนาค่าจีรัง
แล้วไหลหลั่งลงบึงหนองนองไปนาน
๒. หลายลำห้วยรวมหม่สู่แม่น้ำ
ช่วยคูณค้ำบำรุงคนจนเล่าขาน
จากยายย่าตาป่แต่บูราณ
จนสืบสานสุขสันต์กันด้วยดี
๓. เป็นสิ่งชูสิ่งชุบอุปโลกน์
ชะโลมโลกเลี้ยงผ้คนบนวิถี
เป็นคุณค่าความงามปนความดี
แจะมีโหดบ้างเป็นบางคราว
๔. ได้อาศัยอาบกินพอสิ้นโศก
อุปโภคบริโภคทั้งร้อนหนาว
ช่วยสังคมสมดุลย์หนุนเรื่องราว
มายืดยาวโยงใยด้วยไยดี
๕. มาบัดนี้เหมือนแม่นำจะเหนื่อยแล้ว
เริ่มส่อแววอ่อนเปลี้ยเสียราศี
เดินทางมาเกินไกลแรงไม่มี
โดนย่ำยีโดยลูกหลานทรชน
๖. พวกกักขละตักตวงเต็มพิกัด
สารพัดจะทำไปให้สับสน
สารพันจะผลักไสให้ทุรน
แทบสุดทนสุดทานพวกมารร้าย
๗. ปล่อยของเสียลงปนจนโสโครก
วิปโยคอัปยศหมดความหมาย
สร้างโรงงานผลาญแม่น้ำช้ำเจียนตาย
แถมทำลายทางด้นถึงต้นทาง
๘. จนลำห้วยน้อยใหญ่ไม่เป็นห้วย
ถึงมอดม้วยหมดทางลัดถูกขัดขวาง
โดนรุกล้ำถมลำจำวายวาง
เหลืออยู่บ้างเพียงแต่ชื่อว่าคือห้วย
๙. ห้วยนกเต็นห้วยปลามันยันห้วยโป่ง
ลำชีหลงชีลัดจัดเป็นห้วย
ห้วยน้ำเค็มห้วยหนองผำลำผีพวย
ลำลาดควายห้วยหัวหนองเป็นคลองคู
๑๐. ห้วยตาดเตยห้วยกุดกว้างทางห้วยจอก
ห้วยขอนดอกห้วยจานย่ายห้วยหมู
ห้วยป่าไผ่ห้วยปากบุ่งทุ่งขูรู
ห้วยหนองคูห้วยยางข้างห้วยเบ็น
๑๑. ห้วยหูลิงห้วยหว้าหาห้วยหาด
ลงแก่ตาดขึ้นห้วยหวายไปห้วยเหน
ห้วยพระลับห้วยน้ำครำลำน้ำเย็น
ห้วยกลองเพลห้วยหนองวัดตัดห้วยทราย
๑๒. ถึงวันนี้เหลือแต่นามว่าลำห้วย
สะพานสวยทอดเอียงเคียงคู่ป้าย
เฝ้าแลแล้วแลเล่าก็เปล่าดาย
เฝ้าแลหายไม่แลเห็นลำห้วยเลย
๑๓. โอ้ลำห้วยเคยเป็นเช่นสายเลือด
เหมือนถูกเชือดเลือดไหลใคร่เฉลย
เมื่อน้ำมาเลือดนองต้องสังเวย
กระไรเลยจะรู้เร้นลงลำราง
๑๔. สองฝั่งห้วยเคยอุดมด้วยร่มไม้
ทั้งกอไผ่พงหนามขนาบข้าง
พวกกบเขียดปูปลามาอำพราง
ทั้งสองข้างเขียวชะอุ่มพุ่มพฤกษ์พันธุ์
๑๕. ทั้งหอยโข่งหอยขมจมในห้วย
ผักดอกสวยบนน้ำใสให้สีสัน
ได้เก็บกินเลี้ยงชีวีชุบชีวัน
ความผูกพันเหลือเพียงเสียงเล่าลือ
๑๖. เมื่อฝนมานำไหลไปตามห้วย
แล้วยังช่วยเก็บน้ำไว้มิใช่หรือ
ได้พึ่งพาอาศัยไปสืบมื้อ
เพราะนี่คือครรลองของไทยเรา
๑๗. ครั้นหมดห้วยน้ำหายไปเร็วรี่
แทบทุกปีน้ำบ่าท่วมนาข้าว
แล้วไม่นานก็เหือดหายไม่บรรเทา
เราจะเอาอะไรไว้รองรับ
๑๘. หลายคนลืมคำนึงถึงเรื่องนี้
คิดเพียงมีการเพิ่มเขื่อนเลื่อนระดับ
เสียงสะท้อนคนประท้วงทวงสำทับ
ก็ยังหลับหูตาทำท้าทาย
๑๙. วอนผ้คนคืนชีพให้ลำห้วย
แต่งลำสวยเติมน้ำใสให้เป็นสาย
วานช่วยฟื้นคืนวิถีที่วางวาย
ให้กลับกลายเป็นสายเลือดเลี้ยงสังคม
๒๐. วอนผู้รุก วอนผู้รานผลาญลำห้วย
ได้โปรดช่วยยับยั้งความขื่นขม
ช่วยรักษาลำห้วยให้รื่นรมย์
กลับอุดมสมบูรณ์เหมือนดังเคย

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

นัก(เล่น)การเมือง

๑. ยกมือไหว้รอบทิศขอสิทธิ์เสียง
ส่งสำเนียงอ่อนน้อมค้อมหัวให้
หวังฝากเนื้อฝากตัวฝากหัวใจ
เพื่อรับใช้แทนหูตาประชาชน
๒. ขึ้นปราศรัยหาเสียงเยี่ยงนักปราชญ์
ยกตัวอย่างอ้างอำนาขอันฉ้อฉล
เป็ยสิ่งเลวสุดบัดสีมีเล่ห์กล
ขออาสาเข้าไปชนในสภา
๓. ชี้ประวัติการศึกษามาตุชาติ
ล้วนสะอาดสูงส่งดังหงสา
อีกทั้งหว่านมธุรสพจนา
ให้เห็นว่าข้าฯนี้หรือคือคนดี
๔. จนชาวบ้านหลงคารมชื่นชมทั่ว
ยอมส่งตัวเข้าสภาทำหน้าที่
เป็น ส.ส.พอจะคล่อง สองสามปี
ก็เริ่มมีข่าวคาวออกฉาวโชย
๕. บ้างเป็นข่าวทำชั่วมั่วทางโลกย์
บ้างข่าวงกรับทรัพย์ดับความโหย
บ้างมีข่าวเบี้ยวประชุม กลุ้มอิดโรย
บ้างก็โวยเกรี้ยวกราดราษฎร
๖. หวังจะเห็นมีบทบาทก็พลาดท่า
หวังจะได้พึ่งพากลับมาหลอน
หวังจะได้กู้ชื่อชาวนาคร
ก็ได้เพียงอุทาหรณ์สอนใจจำ
๗. พอมีข่าวยุบสภาทำหน้าเศร้า
ดูปวดร้าวโวยวายให้น่าขำ
เที่ยวป่าวร้องต่อว่า "บ้าระยำ"
"โดนเหยียบย่ำเสรีอธิปไตย"
๘. ใกล้เลือกตั้งครั้งใหม่เวียนไหว้กราบ
ศิโรราบฝากฝังว่ายังไหว
ขออาสาแม่พ่ออีกต่อไป
จะตั้งใจทำงานด้านการเมือง
๙. ยังไม่ทันยื่นสมัครก็ชักวุ่น
วิ่งหัวหมุนหาพรรคใหม่จนไข้เหลือง
คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายคงสิ้นเปลือง
จึงหาเรื่องจากพรรคเก่าเข้าพรรครวย
๑๐. เพียงแดดเดียวยังไม่สิ้นกลิ่นคาวเนื้อ
เดเยวเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนตราท่าไม่สวย
อุดมการณ์อยู่จุดไหนไม่เป็นมวย
แล้วจะหวังใครช่วยลงคะแนน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

กีฬาประชาชน

๑ ...กีฬาประชาชน
เขาเริ่มต้น ด้วยจอบเสียม คราด คันไถ
มีกระบุง ปุ้งกี๋ แห ลอบ ไซ
เคียว ขวาน ค้อน มีดน้อยใหญ่ ไว้ผ่าฟัน
๒. ในบางช่วง มีวัวควาย มาช่วยบ้าง
เกวียนเคียงข้า ได้ผ่อนแรง ยามแข่งขัน
เอาไร่นา ป่าเขา เขตเถาวัลย์
เป็นสนาม ไว้ประชัน เชิงกีฬา
๓. สืบวิสัย ป่ย่า ตายายย้อน
ที่ฝึกสอน การขันแข่ง แสวงหา
เอาเรี่ยวแรง ทุ่มเท ทุกเวลา
ทั้งวิญญาณ์ ทั้งหัวใจ ให้เต็มเต็ม
๔. ถึงแม้ว่า มันสมอง จะพร่องบ้าง
เลือดไม่จาง เหงื่อไคล ยังข้นเข้ม
คู่ต่อสู้ สุดจะเขี้ยว ในเชิงเกมส์
จะปรีดิ์เปรม ได้เมื่อใด ก็สุดเดา
๕. ทั้งความหิว ความหื่น แห่งคนห่าม
ลงสนาม รุมห้ำหั่น ให้อับเฉา
ความอดอยาก ปากท้อง รวมทีมเข้า
ก็เทียบเท่า คู่ประชัน อันตราย
๖. กรรมการ นั้นไซร้ กลไกรัฐ
เศณษฐกัด เศรษฐกิจ พิษทั้งหลาย
ร่วมตัดสิน แพ้ชนะ เป็นหรือตาย
มีเป้าหมาย แค่อิ่มท้อง ของรางวัล
๗. เรื่องค่าตัว เขาลืมตีราคาให้
ไม่เป็นไร ขอยินเพียง เสียงสวรรค์
ราคาข้าว หนึ่งเกวียนให้เทียมทัน
เท่าประตูหนึ่ง ฟุตบอลนั้น ก็พอใจ
๘. รายการนี้ กองเชียร์ คือธรรมชาติ
ทั้งฝนฟ้า อากดาศ หัวหน้าใหญ่
ในบางปี มีประดัง ทั้งใกล้ไกล
กำลังใจ ก็กลับมา กันเป็นกอง
๙. แต่บางปี เสียงเชียร์ ชักจะกร่อย
ตั้งตาคอย ทำท่า ว่าขัดข้อง
จำต้องพ่าย บ่ายองค์ ลงปลายคลอง
หมายไล่ล่อง ตายดาบหน้า เอาท่าเดียว
๑๐. ถึงอย่างไร เกมส์นี้ ยังมีต่อ
ไม่อยากท้อ แต่ความขลาด ทำหวาดเสียว
แม้ไม่แพ้ ถึงตาย เสียทีเดียว
กายซีดเซียว จนหัวโต เป็นหัวตอ
๑๑. โปรดอัดฉีด แรงใจ ให้เขาบ้าง
เพื่อได้สร้าง สีสัน แข่งขันต่อ
หวังสักที มีรางวัล สานฝันพอ
เป็นแต้มต่อ ให้กีฬาประชาชน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒


สวน

ฉันรู้สึกว่ามีเกียรติ
ที่มีต้นไม้ยืนเรียงรายต้อนรับฉัน
ยามฉันเดินกลับเข้าบ้าน
ฉันรู้สึกว่าได้รับความรัก
เมื่อต้นไม้ชูดอกมาจุมพิตฉัน
ฉันรู้สึกปลอดโปร่ง
เมื่อใบไม้ซึมซับเอาความวุ่นวายออกไปจากใจฉัน
ฉันรู้สึกว่าได้รับการเยียวยา
ยามเมื่อนอนอยู่ใต้ร่มไม้
ฉันรู้สึกอบอุ่น
เมื่อกิ่งไม้อาวุโสลูบไล้ศีรษะฉันอย่างอ่อนโยน
สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้นมากมาย
ที่ในสวนของฉัน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

พร้อม

ตะวันขึ้น...ตะวันตกดิน
เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ
ค่ำ เช้า สาย บ่าย เย็น
เย็น ค่ำ เช้า สาย บ่าย
....ขณะนี้บ่ายแล้ว
ฉันรู้เพียงว่าเป็นยามบ่าย
แต่ไม่รู้ว่าบ่ายคล้อยไปเท่าไรแล้ว
และไม่รู้อีกว่าจะถึงยามเย็นเมื่อไร
...แต่ฉันก็พร้อม
ฉันพร้อมแล้วสำหรับการมาถึงแห่งรัตติกาล

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

ขอบคุณใบไม้

ในช่วงเวลาบ่ายคล้อยของวัน
ฉันวนเวียนกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่น
รวบรวมไว้เป็นกอง
กองไว้ใช้ทำปุ๋ยหมัก
...ฉันนึกขอบคุณต้นไม้ที่ผลิใบ
...ฉันนึกขอบคุณใบไม้ที่ร่วงหล่น
ขอบคุณครั้งที่หนึ่ง
ขอบคุณครั้งที่สอง
ขอบคุณครั้งที่สาม
และขอบคุณอีกไม่รู้กี่ครั้ง

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

หมวก

ฉันมีหมวกอยู่หลายใบ
...ในวันนี้
ฉันเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
...ที่จะสวมหมวกบางใบ

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

ภูเขาไฟ

ในค่ำคืน ดึกสงัด
สายลมสงบ
ผ้คน...หลับสนิท
แต่....ภูเขาไฟยังคงคุกรุ่น

ศักดิ์เรือง วลี /๒๘ มิถุนา ๕๒

น้ำ

๐ น้ำฝน น้ำฟ้า น้ำท่า น้ำทุ่ง
น้ำพุง น้ำพอง น้ำหนอง น้ำนา
น้ำโขง น้ำชี น้ำมี น้ำมา
น้ำปิง น้ำป่า น้ำท่า น้ำธาร
๐ น้ำบ้วน น้ำบ่อ น้ำท่อ น้ำทิ้ง
น้ำกลิ้ง น้ำเกลียว น้ำเปรี้ยว น้ำหวาน
น้ำโคลน น้ำคลอง น้ำนอง น้ำน่าน
น้ำผ่าน น้ำผัก น้ำพักน้ำแรง
๐ น้ำกรอง น้ำกลั่น น้ำปั่น น้ำปรุง
น้ำพุ่ง น้ำพรวด น้ำขวด น้ำแข็ง
น้ำนิ่ง น้ำหนาว น้ำอ่าว น้ำแอ่ง
น้ำพริก น้ำแกง น้ำแดง น้ำดำ
๐ น้ำแช่ น้ำดี น้ำสี น้ำเหล้า
น้ำมะเน็ด น้ำมะนาว น้ำขาว น้ำคร่ำ
น้ำมือ น้ำเมา น้ำคาว น้ำคำ
น้ำถ้อย น้ำถ้ำ น้ำจิต น้ำใจ
๐ น้ำทอง น้ำแท้ น้ำแร่ น้ำราด
น้ำหยด น้ำหยาด น้ำสาด น้ำใส
น้ำขัน น้ำข้น น้ำพ่น น้ำใช้
น้ำล่อง น้ำไหล น้ำใน น้ำนม
๐ น้ำเงิน น้ำหน้า น้ำบ่า น้ำพล่าน
น้ำแกง น้ำบาดาล น้ำตาล น้ำขม
น้ำซึม น้ำซับ น้ำซัด น้ำอัดลม
น้ำพรม น้ำเลือด น้ำเดือด น้ำดัน
๐ น้ำตุ่ม น้ำเต้า น้ำข้าว น้ำเข้ม
น้ำตก น้ำเต็ม น้ำเค็ม น้ำคัน
น้ำจาก น้ำโจน น้ำมนต์ น้ำมัน
น้ำจิ้ม น้ำจัณฑ์ น้ำผัน น้ำผึ้ง
๐ น้ำกาม น้ำกวน น้ำหวน น้ำหอม
น้ำย้อม น้ำยา น้ำชา น้ำนึ่ง
น้ำตี น้ำต้ม น้ำตม น้ำตึง
น้ำบึง น้ำบาง น้ำยาง น้ำย้อย
๐ น้ำอดน้ำทน น้ำล้น น้ำหลั่ง
น้ำเขื่อน น้ำขัง น้ำถัง น้ำถ้อย
น้ำค้าง น้ำคู น้ำหู น้ำหอย
น้ำอ้อย น้ำปานะ น้ำสระ น้ำแล้ง
๐ น้ำเหือด น้ำหาย น้ำลาย น้ำลด
น้ำกรัง น้ำกรด น้ำหด น้ำแห้ง
น้ำเคย น้ำครั่ง น้ำพัง น้ำแพง
น้ำส้ม น้ำแตง น้ำแปลง น้ำปลา
๐ น้ำเสีย น้ำเก่า น้ำเน่า น้ำเหม็น
น้ำขุ่น น้ำเข็ญ กลายเป็นน้ำตา
น้ำตา น้ำตา น้ำตา น้ำตา
น้ำตา น้ำตา น้ำตา น้ำตา

ศักดิ์เรือง วลี / ๒๘ มิถุนา ๕๒

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลม

๐ เมื่อลมลูบจูบผืนน้ำในยามดึก
เผลอไผลนึกว่าลมเล่ห์เสน่หา
พอลมพัดผ่านเลยพลันเฉยชา
กลับนึกว่าน้ำละเมอเพ้อถึงลม
๐ ถึงเป็นลมเป็นฟ้าเป็นอากาศ
ล้วนเป็นธาตุเป็นธรรมที่ทับถม
ล้วนเป็นเพื่อนพี่น้องคล้องเป็นปม
ควรเชยชมฤาเฉยชาไม่ว่ากัน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๗ มิถุนา ๕๒

มหาวิทยาลัยแห่งโลก

๐ มหาวิทยาลัย แห่งโลกใหม่ ในวันนี้
ในบางที ยังเศร้าโศก ยังสับสน
ในวิถี ยังคดเคี้ยว เลี้ยววกวน
ในบางคน บางกลุ่ม กลุ้มเหมือนกัน
๐ บางชุมชน แปลกแยก ด้วยแตกต่าง
มีอ้างว้าง ยากจน ปนสุขสันต์
วัฒนธรรม ประเพณี มีต่างกัน
ความนึกคิด จิตวิญญาณ ย่อมผันแปร
๐ ณ ห้องเรียน กว้างใหญ่ ในโลกกว้าง
มีหลายสิ่งหลายอย่าง ต่างกระแส
ควรเรียนรู้ ศึกษา อย่าเชือนแช
อาจได้แก้ สถานการณ์ อันจำเป็น
๐ ในมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต
มีแนวคิด หลายแนว แล้วแต่เห็น
ต้องประยุกต์ ปรับใช้ อย่างใจเย็น
มิใช่เป็น ทฤษฎี ที่ตายตัว
๐ หลายหลักสูตร ต้องพากเพียร เรียนไม่หยุด
รู้จักพูด รู้ถูดผิด คิดใช้หัว
รู้ใจเขา ใจเรา รู้ดีชั่ว
รู้ตนตัว รู้เรื่องคนกับสังคม
๐ อันความรู้ เรียนหนัก จากหลักสูตร
ไม่อาจหยุด ความหื่น ความขื่นขม
ประสบการณ์ ของชีวิต อีกหลายปม
มาประสม เป็นศาสตรา ปัญญาชน
๐ เมื่อเรียนจบ ปริญญา สารพัดศาสตร์
ไม่ควรลืม ความเป็นปราชญ์ อันเลิศล้น
นั่นก็คือ ปริญญา ชีวิตคน
จักต้องค้น จักต้องคว้า ตลอดกาล

ศักดิ์เรือง วลี /๒๗ มิถุนา ๕๒

ฝน

๐ เมื่อสายฝน ถักทอพรม ห่มผืนป่า
เติมวิญญาณ์ เติมชีวี เติมสีสัน
พร้อมผลิดอก ออกใบ ไปด้วยกัน
แล้วชูชัน ใบดอก บอกขอบคุณ
๐ สรรพสิ่ง ส่งเสียง สำเนียงขับ
ประสานรับ กับสังคมอันอบอุ่น
ชมจนเพลิน เต็มปลื้ม ลืมอาดูร
นับเป็นบุญ อีกบุญ บนแผ่นดิน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๗ มิถุนา ๕๒

จุดเทียน

๐ ชูเทียนเพียงแท่งน้อย จุดเทียน
เทียนส่องเพียงแสงเทียน เท่านี้
แสงเพียงส่องแรงเทียน เวียนส่อง
คงไม่อาจไปชี้ ช่องให้เห็นสวรรค์
๐ เปลวเทียนลามแท่งแล้ว ละลาย
เทียนห่อนหดหาย-หาย ค่าสะท้อน
กายเทียนเปลี่ยนแปรกลาย คุณค่า
เป็นแสงเป็นแรงร้อน ใช่ไร้ไปดาย
๐ เปลวไฟฝืนลมต้าน สลัวแสง
สืบส่องโดยไฟแรง ร่วมเชื้อ
จุดเทียนต่อเทียนแทง ไปทั่ว
แสงส่งแสงอวยเอื้อ สว่างกว้างถึงไหนไหน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๖ มิถุนา ๕๒ (วันสุนทรภู่)

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

โลกนี้ยังสวยงาม

๐ ฝากฟ้าแลสั่งฟ้า เพื่อยิน
สั่งดินแลฝากดิน เพื่อรู้
กระซิบสั่งภูผาหิน เหวป่า
ฝากถ้อยถึงทุกผู้ เพื่อรู้ยินกระแส
๐ ว่าโลกนี้มิได้ร้าย ลวงเรา
ว่าคนมิได้เขลา ขื่นแล้ง
ว่าใจมิได้เฉา ฉลโฉด
ว่าธรรมมิได้แห้ง เหือดสิ้นอย่างสงสัย
๐ อุบัติใดผิดแผกบ้าง ลืมเถิด
บุคคลใดล่าวงละเมิด เมินบ้าง
พฤติกรรมใดก่อเกิด รักมั่น
จงส่งจงเสริมสร้าง สืบไว้เสมอเสมอ
๐ ความรักมีอยู่ล้น โลกา
ทุกที่ทุกมรรคา มากท้น
จงมองจงเมียงหา มันเถิด
จงเสาะแสวงค้น ไขว่คว้าขวนขวาย
๐ สันติสุขมีอยู่แล้ว มากเหลือ
เพียงใฝ่เพียงฝันเจือ จักได้
เมตตามีเหลือเฟือ แฝงอยู่
เพียงปลูกเพียงแปลงใช้ โลกนี้สุดสวย
๐ ทุกสิ่งจัดสรรได้ โดยพลัน
หากจ่ายจากตนผัน แลกบ้าง
ลงทุนแบ่งปูนปัน ไปก่อน
ความดีงามอยู่รอบข้าง จักพร้อมคืนสนอง

ศักดิ์เรือง วลี /๒๖ มิถุนา ๕๒ (วันสุนทรภู่)

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ฉันกับพืชพรรณ

๐ ฉันมีตัวตนดังต้นไม้
ต้องอาศัยผืนดินเป็นถิ่นฐาน
อาศัยนำ ลมฟ้ามาช้านาน
อีกแสงแดดพอประมาณเลี้ยงชีวา
๐ ในบางช่วงโชติช่วงแตกพวงพุ่ม
ในบางทีร้อนรุ่มเหนื่อยอิดหนา
แทบเหี่ยวเฉาแห้งโหยจนโรยรา
สุดจะไขว่สุดจะคว้าหาสิ่งใด
๐ แต่ก็ผ่านก็พ้นวังวนว่าย
พอปีนป่ายตั้งต้นพอทนไหว
ถึงล้มลุกคลุกคลานผ่านพ้นไป
วังวนใหม่ก็เวียนมาหาอีกที

ศักดิ์เรือง วลี ๒๕ มิถุนา ๕๒

หนาม

ต้นไม้บางต้น
สวยที่หนาม

ศักดิ์เรือง วลี /๒๕ มิถุนา ๕๒

วัวหาย

ฝูงเอยฝูงวัวของโลก
หายๆไปเสียบ้าง
ก็คงดีเหมือนกัน
เพื่อ.....
คนบนโลกจักได้ช่วยกันล้อมคอก
ให้เสร็จๆเสียที

ศักดิ์เรือง วลี /๒๕ มิถุนา ๕๒

วัวหาย

ตุ๊กตา

ตุ๊กตาเล็กๆ
ที่เคยปั้นไว้ในอดีต
มันกลับมาเป็นยาวิเศษ
...ในปัจจุบัน
วันที่รู้สึกว่า
ตัวเองช่างไม่มีคุณค่าเอาเสียเลย

ศักดิ์เรือง วลี / ๒๕ มิถุนา ๕๒

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กวีเก็บกด

๐ ใดฤดีดังรุ่มร้อน คืนหนาว
คราคร่ำโดยเดือนดาว ดั่งไร้
หัวใจอยู่อกราว อกเปล่า
ฤาโลกหายรัก ให้- โหดเหี้ยมประหาร
๐ หมองหมางเหมือนหม่นไหม้ ไหนเหมือน
หดหู่เห็นดาวเดือน ห่อนได้
ตรอมตรมติดตามเตือน ตรึงอยู่
สลัดสะบัดดั่งบ้าใบ้ บ่สะบั้นขาดเลย
๐ สะสมภาษิตทั้ง คำสอน
หวังตัดหวังเตือนตอน ตนกลุ้ม
กลับกลายเป็นไฟฟอน เยาะยั่ว
สิ่งคลายความคลั่งคลุ้ม แค่เค้นอัสสุชล
๐ พอทนเป็นเพื่อแท้ เพียงมี
กระดาษ ดินสอ -สี เท่านั้น
สับสนโศกโศกี ไหวหวั่น
ตวัดวาดเพียงสั้นสั้น คั่งแค้นดูคลาย
๐ ระบายความบิ่นบ้า เป็นบท
เรียงร่ายความรันทด ถ่ายไว้
ผิว์เพียงกวีเก็บกด ก็เถอะ
(ยังพอ)เยียวยาความขื่นไข้ ช่วยพ้นพิษทุรน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๔ มิถุนา ๕๒

จากภูเขาถึงทะเล

๐ แม้อยู่ห่างทางไกลถึงหลายห้วง
แต่ยังห่วงหวนหามาไม่หาย
อยู่ทางนี้มีสุข ทุกข์ อย่างไร
ฤาเจ็บไข้เศร้าตรมฤาซมซาน
๐ ได้แต่ส่งสารสายมิได้ขาด
แม้ไม่อาจมาพบประสบสรรค์
ถึงอย่างไรก็ไม่สิ้นสิญจ์สัมพันธ์
เชื่อมถึงกันมั่นใจไม่คลายคลอน
๐ แม้อยู่สูงห่างกันนั้นจริงอยู่
แต่เสียงกู่ประวิงจากสิงขร
ส่งสายธารผ่านมาถึงสาคร
นิรันดรมิอาจขาดจากกัน
๐ มนุษย์เราสูงลำฤาต่ำต้อย
แม้บุญน้อยมีทุกข์ ฤาสุขสันต์
แต่พวกเราไม่อาจขาดสัมพันธ์
เชื่อมถึงกันลึกลำด้วยนำใจ

ศักดิ์เรือง วลี / ๒๔ มิถุนา ๕๒

นกสีม่วง

หากแม้นว่าสีแดง
หมายถึงความคิดก้าวหน้า
และการสร้างสรรค์
สีนำเงิน
หมายถึงการอนึรักษ์สิ่งที่ดีงาม
.........มาเถิดพวกเรา
มาเป็นนก
..........นกสีม่วง

ศักดิ์เรือง วลี / ๒๔ มิถุนา ๕๒

เหนือใฝ่ฝัน

๐ ถ้าทำได้ จักแจกจ่ายทุกเม็ดฝน
ได้เทียมเท่าทุกคน ทั้งพืชผลทั่วๆไป
๐ จักปันแสงแดดอุ่น ให้เป็นทุนทำปัจจัย
ทุกที่ทั้งใกล้ไกล เพื่อได้ใช้ทั่วถึงกัน
๐ จักตวงความเมตตา ทั่วทั้งหล้ารับเทียมทัน
เจียดจ่ายเสมอกัน ตามต้องการจนพอใจ
๐ ส่งสุขหมดที่มี ทุกวิถีที่มั่นหมาย
เพื่อให้ทุกข์มลาย จากใจกายของผ้คน
๐ มอบรักให้ทุกที่ ด้วยไมตรีอันล้นพ้น
ขอเพียงให้ปวงชน มีที่พึ่งประทังนาน
๐ แบ่งปันทุกชีวา ทั้งเสื้อผ้าแลอาหาร
ให้อิ่มให้เอมกัน ทั้งหมู่บ้านทั้งในเมือง
๐ สติแลปัญญา เติมวิชาให้ประเทือง
เพื่อบังเกิดความรุ่งเรือง ไปพร้อมกันทั้งโลกา
๐ แต่....ทำไม่ได้ ตามฝันใฝ่ปรารถนา
ด้วยเรา (ก็)โดนบีฑา ด้วยอธรรมทุกนาที

ศักดิ์เรือง วลี ๒๔ มิถุนา ๕๒

วิญญาณเสรี

อยากจะเกี่ยวร้อย
ทุกดวงตา
ไว้กับดวงดาว
อยากจะผูกข้อเท้า
ทุกทุกเท้า
ไว้ที่พื้นดิน
อยากจะพันธนาการ
ทุกหัวใจ
ไว้ที่โขดหิน
ส่วนความนึกคิด และจิตวิญญาณ
สุดแต่จะโบยบิน
........ตามใจ
ศักดิ์เรือง วลี
๒๔ มิถุนา ๕๒

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

รุ้งกินน้ำ

ในยามบ่าย
แสงแดดสีเหลืองทอง
สาดส่องลอดสุมทุมพุ่มไม้ บนเนินเขา
ขณะที่สายฝนยังโปรยปราย
ต้นไม้ชายเขาแช่มชื่น
............แต่อนิจจา
ทุ่งนาด้านตะวันออก
มีรุ้งกินน้ำ
กินจนน้ำหมด จนผืนนาแห้งแล้ง
ศักดิ์เรือง วลี /๒๒ มิถุนา ๕๒

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เครื่องมือ

ฉันจักบันทึก
ทุกเรื่องราว
ด้วยเครื่องมืออันพิสุทธิ์
....หัวใจของฉัน
"ศักดิ์เรือง วลี" ๑๕ มิถุนา ๕๒