วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แด่แม่ชี

แม่น้ำชี
"ลำพะชี" คือนามเดิมของแม่
กำเนิดจากภูผาสูง
เดินทางซอกซอน
แทรกซึม ลึกซึ้ง
เข้าสู่กระดูกสันหลัง
ต่อเนื่อง
เนิ่นนาน
วานช่วยปกป้อง
แม่ของเรา
......
ศักดิ์เรือง วลี/ ๑ สิงหา ๕๒

จงจีรัง

๐ อยากเป็นดาวเป็นดิน เป็นหิน-ไม้
ขอจงให้เป็นไปอย่างใจถวิล
ตั้งแต่ต้นมาอย่างไรทำใจชิน
ไม่หลงถิ่นตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย
๐ อย่าเป็นโน่นเป็นนั่นแล้วเป็นนี่
เช้าอย่างนี้ แล้วอย่างนั้นครั้นพอสาย
ธาตุที่แท้แปรไปเป็นธาตุกลาย
สูญสลายความเป็นตัวของตัวเอง

ศักดิ์เรือง วลี /๑ สิงหา ๕๒

เติมและตัด

๐ จงเติมแต้มสีสันให้วันว่าง
ให้สล้างให้สลวยด้วยสีสัน
ให้สดใสสดชื่นทั้งคืนวัน
เติมความฝัน จินตนาแลอารมณ์
๐ ถึงมันคลั่งมันคลุ้มอยู่ลุ่มลึก
จงชำระชะล้างความขื่นขม
ด้วยน้ำใสในเบ้าตาอย่ามัวตรม
ความระทมควรสลายมลายพลัน

ศักดิ์เรือง วลี /๑ สิงหา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนเดินดิน

๐ จงเติมแต้มต่อใบให้ต้นไม้
พร้อมกันนั้นก็เติมไฟที่ในหวัง
เติมรักลงกลางใจใส่พลัง
เติมมนต์ขลังสิ่งรอบข้างอย่างเคยชิน
๐ ถ้าวันใดหมดไฟให้ใส่เชื้อ
ความช่วยเหลืออยู่รอบข้างไม่เคยสิ้น
อย่ายโสจงยอมรับน้ำใจริน
คนเดินดินอยู่กับดินกินกับดาว

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

จงหวัง

๐ จักคิดหวังสิ่งใดก็จงหวัง
อย่าหยุดยั้งความคิดตามสิทธิ์หวัง
แม้จริงบ้างฝันบ้างวางระวัง
เพราะว่าหวังก็คือหวังยังไม่วาย(ชีวา)

ศักดิ์เรือง วลี /๓๑ กรกฎา ๕๒

โลกของวัยรุ่น

สีสลับสี
แสงสลับแสง
เสียงสลับเสียง
คำสอนหลายทิศทาง
แม่เหล็กจากหลายขั้ว
......ความนึกคิดสลับสับสน
......ตัวตนมิใช่ตัวตน
อยู่คนเดียวท่ามกลางคนมากมาย

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

ขุนเขา

ภายในใต้ขุนเขา
ร้อนหนาวสักเท่าใด
ใครเล่าจักล่วงรู้
ด้วยตัวของผาภู
มิอาจเอ่ยให้ใครยิน

ศักดิ์เรือง วลี /๓๑ กรกฎา ๕๒

ปม

ผูกปมเพื่อการใด
คลายปมได้อย่างไร
.....ปมใดเป็นปมใด
.....เงื่อนใดคลายปมใด
.....เงื่อนใดคลายปมได้
ชีวิตก็เช่นนี้
ชีวีล้วนมีปม
.....เป็นปมโดยก่อปม
.....เกิดปมโดยบังเอิญ
.....มีใครให้มีปม
ต้องแก้ปมกันต่อไป
และแก้ปมตลอดไป

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

สุขที่แท้

อย่าได้หวังสุขใดที่เลิศเลอ
อย่าได้หวังวิมานใดที่งดงาม
เป็นเท่าที่เป็น
อยู่เท่าที่อยู่
มีเท่าที่มี
สุขที่แท้
ใช่สุขเฉพาะตัว
ต้องสุขคนอื่นด้วย

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

คิดถึงบ้าน

หนทางกลับบ้านมีหลายทาง
ถนนมีหลายสาย
ยามที่ว้าวุ่นใจ
ฉันตรงดิ่งกลับบ้าน
ในพริบตา
โดยเส้นทางสายจิตใจ

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

หลับตา

ในช่วงแห่งการสนทนา
.....เพื่อนเอย
.....หากไม่จริงใจ
จงหลับตาของเพื่อเสียเถิด
.....แล้วจึงพาทีต่อกัน

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

ทิศทางแห่งเท้า

ไปไหนกันหนอ
ผู้คนมากมาย
เดินทางไปเป็นกลุ่มๆ
ทิศทางแห่งเท้า
ไปทางเดียวกัน
จุดหมายแห่งใจ
ที่หมายเดียวกัน...หรือไม่หนอ

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

หน้าที่ของดอกไม้

แม้ช่วงที่แล้งร้อน
ดอกไม้ยังทำหน้าที่อยางแข็งขัน
ไฉนแมลงจักคร้านอยู่ไยเล่า

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

คืนแล้งฝน

ในคืนแล้งฝน
หมู่ดาวคุยกันครึกครื้น
ขณะที่ผู้คน
ไม่มีอารมณ์จะพาที

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

โลกสึกกร่อน

เมื่อมนุษย์
ขุดเอาความคิดของตน
ออกมาใช้มากเท่าใด
โลกก็จะสึกกร่อน
ไปมากเท่านั้น

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

ความใฝ่ฝันที่มาเยือน

ความใฝ่ฝัน
เปลี่ยนโฉมหน้าเข้ามาเยือนเสมอๆ
ฉันต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น
พอคุ้นเคยกันสักพัก
ก็อำลา
ทิ้งไว้แต่สิ่งที่สวยงามให้แก่บ้านของฉัน
....โลกของเรา

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

ปล่อยฉัน

โปรดจงปล่อยทิ้งฉันไว้ ณ ที่นี่เถิด .....อารยธรรม
จงก้าวต่อไปเถิดเพื่อนมนุษย์
จงหมุนต่อไปเถิดโลกมนุษย์
ฉันยินดีจะอยู่ ณ ตรงนี้
อยู่กับต้นไม้ใบหญ้า
อยู่กับป่ย่า ตายาย
อยู่กบเดือนดาว
อยู่กับสายลมและแสงแดด
อยู่อย่างเดิม อยู่ที่เดิม กับความฝันใหม่ๆของฉัน

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

เห็นแก่ตัว

ความจริงฉันมิใช่คนดี
ฉันมิใช่สุภาพบุรุษอะไรหรอก
ฉันเป็นเพียงคนธรรมดา
ฉันเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น
ที่ฉันเสียสละ....ก็เพื่อความสุขของฉัน
ที่ฉันให้............ก็เพื่อความสุขของฉัน
ที่ฉันทำเพื่อคนอื่น..ก็เพื่อความสุขของฉัน
ที่ฉันอดทน......ก็เพื่อความสุขของฉัน
ที่ฉันยอม.........ก็เพื่อความสุขของฉัน
ที่ฉันอาทรต่อใคร...ก็เพื่อความสุขของฉัน
ฉันทำทุกอย่างเพื่อความสุขของตัวเอง
.......ใช่...มันเป็นความสุขที่ใจ

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

ณ ที่เดิม

กับเก้าอี้ตัวโปรด
กับเพลงที่โปรด
กับบรรยากาศที่ดี
กับเวลาที่คุ้นเคย
แม้จะเป็นที่เดิมที่จำเจ
แม้จะเป็นเวลาเดิม
แม้จะเป็นบทเพลงที่ฟังซ้ำซาก
แต่.....ความรู้สึก อารมณ์
และจิตวิญญาณ....มิได้อยู่ ณ ที่เดิม

ศักดิ์เรือง วลี /๓๑ กรกฎา ๕๒

การเดินทาง

ตลอดการเดินทาง
ความนึกคิดก็จักเดินนำทา
ทิศทางที่เดินไป
จึงเป็นทิศทางของความคิด
แม้บางครั้งในการเดินทาง
อาจหันหลังให้กับจุดหมาย
แต่สุดท้ายด้วยสำนึก
จักต้องหันกลับเพื่อเดินทางใหม่
จุดหมายที่แท้
ก็ยังเป็น...ที่ปลายทาง

ศักดิ์เรือง วลี /๓๑ กรกฎา ๕๒

บทเพลงแห่งชีวิต

บทเพลงแห่งต้นไม้
คือบทเพลงแห่งฉัน
บทเพลงแห่งสายน้ำ
คือบทเพลงแห่งฉัน
บทเพลงแห่งสายลม
ก็คือบทเพลงแห่งฉัน
ยิ่งบทเรียงถ้อยร้อยคำจากกวี
ยิ่งเป็นบทเพลงโปรดแห่งฉัน
แต่บทเพลงแห่งผ้คนบางคน
เป็นเพียงเสียงดนตรีบางชิ้นในบทเพลงแห่งฉัน

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๑ กรกฎา ๕๒

ด้วยใจตน

๐ ถามผ้คนหลายคนหาคำตอบ
ถามว่าชอบหรือไม่ชอบในตัวฉัน
ถามเขาว่าคิดไปอย่างไรกัน
กับตัวฉัน ที่ฉันทำ ที่ฉันเป็น
๐ แต่ละคนตอบคำไม่ซ้ำหรอก
เขาก็บอกมากมายหลายความเห็น
มีชอบบ้างไม่ชอบบ้างต่างประเด็น
นั่นมันเป็นสิทธิที่ชอบธรรม
๐ ลองมาถามตัวของตัวตอบเองบ้าง
ว่าเป็นอย่างที่เป็นเห็นว่าหนำ
หรือไม่ชอบสิ่งไหนที่ใฝ่ทำ
ก็ตอกย้ำว่ายินดีและพอใจ
๐ ในเมื่อเป็นอย่างนี้อย่าเดือดร้อน
เลิกอาทรเลิกวิตก จะหมกไหม้
เลิกกังวลเลิกกังขาเลิดแคลงใจ
จงให้ใจสุขได้ที่ใจตน

ศักดิ์เรือง วลี/ ๓๐ กรกฎา ๕๒

ก็ดีแล้ว

๐ หากโลกไร้หนาวร้อน ไม่ร่อนเร่
หากโลกไร้ทะเลไร้ภูเขา
หากโลกไร้มนุษย์ผุดเรื่องราว
โลกคงเหงาอ้างว้างร้างอาดูร
๐ แม้มนุษย์เราเองลองดูเถิด
หากว่าเกิดมาแล้วไม่วายวุ่น
ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ชุลมุน
ไม่มีคุณไม่มีโทษขอโทษที
๐ คงจืดชืดมืดมนหมดรสชาติ
คงเกินขาดอะไรไม่เต็มที่
คงพิลึกกึกกือไม่เข้าที
เพราะฉะนั้นให้มันมีอย่างนี้ไป
๐ สุขกันบ้างเศร้ากันบ้างช่างมันเถอะ
จะเลอะเทอะเปรอะไปบ้างอย่างวิสัย
มีดีบ้างชั่วบ้างหลายอย่างไป
ก็อย่างใคร ต่อใครเป็น เช่นทุกว้น (นั่นแหละดี)

ศักดิ์เรือง วลี / ๓๐ กรกฎา ๕๒

ค่อนทาง

ระรื่น
ดิ้นรน
ไขว่าคว้า
แสวงหา
เดินบ้าง
วิ่งบ้าง
หยุดบ้าง
สู้บ้าง
ถอยบ้าง
............
นึกว่ายังไป (หรือมา) ไม่ถึงไหน
ที่แท้ก็ค่อนทาง
.............
ศักดิ์เรือง วลี / ๓๐ กรกฎา ๕๒

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เปลี่ยนแปลง

.............สายลมแห่งฤดูกาล
พัดผ่านเข้ามา
เพื่อบอกเรื่องราวของความเปลี่ยนแปลง
กระแสของความคิด
หมุนตัวอยู่เงียบๆ
......ก็สื่อความหมายแห่งความเปลี่ยนแปลง
ได้เช่นเดียวกัน...................

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ กรกฎา ๕๒

สุข

จิตใจที่สะอาด
หน้าที่ที่สมบูรณ์
เพลิดเพลินเฉพาะตัว
ความสงบที่พอใจ
โลกข้างนอกที่สับสน
สังคมที่วุ่นวาย
ใครใครคิดอย่างไร
ไม่หวั่นไหว....ในสุขจริง

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ กรกฎา ๕๒

เทียนกับทาง

แสงไฟในเปลวเทียน
เป็นแสงเทียนที่ส่องทาง
สับสนบนหนทาง
เดินถูกทางด้วยแสงเทียน
โลกกว้างแถมทางคด
อีกเลี้ยวลดและวนเวียน
ผู้คนควรพากเพียร
แสวงเทียนไว้นำทาง
แสงไฟในสำนึก
มีรู้สึกคอยสรรค์สร้าง
เดินทนบนเส้นทาง
ไม่ปล่อยว่างวางแท่งเทียน

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ กรกฎา ๕๒

แด่ ต้นไม้

๐ ยามเมื่อมองดอกไม้สยายดอก
มันได้บอกอะไรให้แก่ฉัน
ทั้งความสุข ความดีงาม ความสัมพันธ์
มีต่อกันลึกซึ้งถึงวิญญาณ
๐ โดยใบไม้โดยดอกไม้ของต้นไม้
โดยหัวใจโดยดวงตาแห่งตัวฉัน
เป็นบทเพลงเป็นกวีแห่งชีวัน
เกื้อกูลกันตลอดมาตลอดไป
๐ จักด้วยเมือง ด้วยมือ หรือลมปาก
จงปักรากช่วยผลิตผลให้ต้นไม้
เติมปุ๋ยรักทุกค่ำเช้าอย่างเข้าใจ
แล้วต้นไม้ก็คงตอบว่าขอบคุณ

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ กรกฎา ๕๒

พอ

เมื่อความสุขผ่านเข้ามา
การแสวงหาก็หยุดลง
นี่คือ...พอ
เมื่อความสุขขาดหายไป
การดิ้นรนก็เริ่มใหม่
นี่คือ...สัญชาตญาณ

ผิดไปจากนี้
ก็อาจจะเป็นคนเหมือนกัน
แต่อันตราย

ศักดิ์เรือง วลึ /๓๐ กรกฎา ๕๒

สาระแห่งสายลม

สายลมย่อมพัดไป
แล้วก็พัดมา
ทิศทางไม่แน่นอน
สำคัญตรงที่ว่า
พัดเอาอะไรไป
และพัดเอาอะไรมา
พัดแรง
หรือแผ่วเบา

ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ กรกฎา ๕๒

สายลมเจ้าพระยา

ทั้งๆที่สายลมเหนือพัดแรง
จากลุ่มน้ำลำพะชี
พัดลงสู่ลุ่มน้ำสี่เจ้าพระยา
แต่ดูเหมือนว่า
กลิ่นหอมแห่งมิตรภาพ
กลิ่นอวลแห่งสุนทรีย์
กลิ่นสดชื่นแห่งน้ำใจ
และกลิ่นอมตะแห่งคุณค่าของมนุษยชาติ
จะพัดโชยทวนลมเหนือไม่ขาดสาย
จากลุ่มน้ำสี่เจ้าพระยา
ถึงลุ่มน้ำลำพะชี
.........................
แด่...น้ำใจของ ดร.มนตรี อุมะวิชนี
กวีของโลก
ศักดิ์เรือง วลี /๓๐ กรกฎา ๕๒

สายลมเจ้าพระยา

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนแข่งเรือ

....เห่ เห่ เห่......เห่ เห่ เห่ เห่ เห่ เห่
ฮึดจ้ำบึ๊ด ฮึด ฮึด จ้ำบึ๊ด
๐ ทุกมือ ที่ถือพาย จ้วงลงไปในสายธาร
ทุกแรง ทุกดวงมาน ล้วนสมานสามัคคี
๐ ทุกใจ ทุกสายตา มีคุณค่ามีศักดิ์ศรี
ทุกเสี้ยว วินาที ไม่รอรีรุกรี่ไป
๐ จุดหมาย อยู่ข้างหน้า ชัยชนะอยู่ข้างไหน
ทุกเรือ มุ่งเส้นชัย หวังจะได้คว้ารางวัล
๐ ทุกคน ที่คอยชม ต่างก็เชียร์เรือประชัน
บางที ท้าเดิมพัน เชิงพนันริมพนัง
๐ ตั้งทีม อยู่ริมท่า เถิดเทิงร่าอยู่ริมฝั่ง
นบมือ แม่ย่านาง แม่จงเนา ณ นาวา
๐ นะแม่ นำโชคชัย นำเรือไปอยู่ข้างหน้า
คุ้มครอง ทั้งธารา ชี้นำพาพวกฝีพาย

......เห่ เห่ เห่......เห่ เห่ เห่ เห่ เห่ เห่
ฮึดจ้ำบึ๊ด ฮึดฮึดจ้ำบึ๊ด

๐ เป้าหมาย อยู่ปลายไหน อยากถามไถ่ท่านทั้งหลาย
แข่งเรือ แข่งฝีพาย เพื่อเอาชัยกระนั้นฤา
๐ เชียร์เรือ เพื่อชิงเงิน เพื่อเพลิดเพลินกระนั้นหรือ
คำตอบ นั่นก็คือ ไม่เท่านั้นนะพวกเรา
๐ ลึกซึ้ง ไปกว่านี้ คิดให้ดีอย่าโง่เขลา
แข่งเรือ เพื่อขัดเกลา เป็นกีฬาใช่กาลี
๐ น้ำใจ นักกีฬา ในนาวาโดยนาวี
พิสูจน์ สามัคคี ความพร้อมเพรียงในผ้คน
๐ การใด โดยกลุ่มใด หากพร้อมใจจักเกิดผล
พลั้งไปเพียงบางคน ก็พลาดพลั้งไปทั้งลำ
๐ ฝากไว้ หวังให้คิด แข่งผิดผิดจะชอกช้ำ
สังคม ควรกระทำ ก็คือเทิดสามัคคี
๐ สมานฉันท์ อยู่ที่ไหน ความพร้อมใจ นำสุขี
ร่วมมือ ร่วมฤดี สำเร็จได้ดังแข่งเรือ

.......เห่ เห่ เห่ เห่ เห่ เห่ เห่ เห่ เห่
ฮึดจ้ำบึ๊ด ฮึด ฮึด จ้ำ บึ๊ด

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๙ กรกฎา ๕๒

หน้าที่

สำหรับคนที่เที่ยวเสาะหา
อัญมณีราคาแพง เม็ดละนับแสนนับล้านบาท
เพียงเพื่อนำมาแซมไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
......มันเป็นหน้าที่ของเขา
หน้าที่ของ...คนรวย
ส่วนคนที่เที่ยวคุ้ยหา
เศษผลไม้จากถังขยะ
มาเพียงเพื่อประทังชีวิตเขา
.....มันเป็นหน้าที่ของเขา
หน้าที่ของ....คนจน
ทุกคนเกิดมาต่างก็มีหน้าที่
เพื่อสมดุลของโลกมนุษย์

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๘ กรกฎา ๕๒

วันนี้

เดินทางมาถึงแล้วใช่ไหม
....หน่วยของกาลเวลา
ที่ชื่อว่า...วันนี้......
วันที่เคยเป็นอนาคตของเมื่อวาน
วันที่กำลังจะเป็นอดีตของวันพรุ่ง
วันที่เคยมีชื่อว่าพรุ่งนี้
ก็จะเปลี่ยนชื่อใหม่อีกทีว่าวันวาน
....แต่ขณะนี้ ..เจ้ายังชื่อว่า..วันนี้
มันเป็นวันเดียว...หมายถึงวันเดียวของวันนี้
...แม้วันอื่นจะทะยอยกันมาให้เรียกว่า..วันนี้
อีกสักกี่วันก็ตามที......แต่ วันนี้ วันที่กำลังเป็นอยู่นี้
จะเป็นเพียงวันเดียวของเรา....เป็นวันเดียวของโลก
เป็นวันเดียวของสุริยจักรวาล.......
ถ้าเช่นนั้น.....
เราควรจะทำให้วันนี้..ของเรา....เป็นวันที่ดี
เป็นวันสุข ....เป็นวันวิเศษ..........
เราจะทำให้วันนี้ (ซึ่งจะมีเพียงวันเดียว)....เป็นวันที่แย่ๆได้อย่างไร

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๘ กรกฎา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แด่....นักเดินทาง

๑. เก็บฝันงำเงียบไว้.......ในฝัน
เก็บรักเก็บผูกพัน..........นิ่งไว้
เก็บถ้อยเก็บจำนรรจ์.....นานหน่อย
มันสมองอีกมือใช้.........ไขว่คว้าควานวิถี
๒. เดินทางโดยท้อแท้....ถึงไหน ได้ฤา
โดนทิ่มโดนแทงใด......อย่าดิ้น
โดนขัดโดนขวางใด.... ดูก่อน
ทางหลบทางหลีกลี้....ล่วงรู้หรือยัง
๓. ทางหนีทางไล่ต้อน...ปัญหา
ทางเล็ดทางลอด ทา-..รุณบ้าง
ทางแยกทางเลี้ยวหา...ทางถูก
ทางมืดทางมนคว้าง....ไขว่คว้าหาเทียน
๔. เก็บฝันแต่ควรก้าว.....ถึงฝัน
เก็บรักแต่ควรปัน.........รักบ้าง
เก็บคำเขียนคำสรร......สอนจิต
เก็บเจ็บเก็บปวดล้าง....สลายเร้นลงใจ
๕. เดินทางโดยใจหมั้น...ที่หมาย
เดินทางโดยท้าทาย.....ทายท้า
เดินทางโดยใจกาย.......เด็ดเดี่ยว
เดินทางอย่างคนกล้า....ก้มหน้าเดินทน

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๖ กรกฎา ๕๒

ชบา

๐ ชบาบานบ่เว้น...........เวียนบาน
บานแบ่งแข่งกันบาน.....เต็มบ้าน
หลากสีลายละลาน.......เลอเด่น
กลีบสวยสุดสะอ้าน......เบ่งอ้าสะอาดตา

ศักดิ์เรือง วลี /๑๖ กรกฎา ๕๒

บัวที่บ้าน

๐ บัวหน้าบ้านเบ่งบานบนก้านดอก
บัวตูมออกเบียดใบดังใบ้บ้า
กลีบบัวบานสานเสน่ห์ทุกเวลา
บัวหน้าบ้านบานรอท่าทุกนาที
๐ บัวหลังบ้านผลิใบมิได้บอก
ลืมออกดอกงามใบไม่ควรที่
ยามออกดอกแดงเข้มเต็มนที
ในหนึ่งปีมีดอกงามสักสามเดือน
ศักดิ์เรือง วลี ๑๖ กรกฎา ๕๒

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลองดู

๐ จงทับโศกซุกซ่อนไว้ก่อนเถิด
จงอย่าเปิดประตูเก็บเรื่องเจ็บปวด
จงอย่าปล่อยเรื่องราวที่ร้าวรวด
จงอย่าอวดความหม่นหมองให้มองเห็น
๐ จงไปหาดอกไม้ที่ชายป่า
จงไปหาสายน้ำที่ซ่อนเร้น
จงไปหาสายลมที่โชยเย็น
จงไปเป็นนกไพรดูสักวัน
๐ จะพบว่าโลกนี้มีหลายมุม
มีมุมเศร้ามีมุมสวยที่สุขสันต์
จะแฝงตัวอยู่มุมมืดทำไมกัน
ในเมื่อมันมีหลายมุมให้เรามอง
๐ เพียงเผลอมองมุมสวยสักพักหนึ่ง
เพียงเผลอซึ้งเพลงสุขพักสมอง
เพียงเผลอใจใฝ่ฝันปันใจปอง
เพียงเผลอมองอาจเปิดม่านปีติมา
๐ เพียงแกล้งลืมความทุกข์สักนาที
เพียงแกล้งมีความสุขสุดหรรษา
เพียงแกล้งปลื้มแกล้งยิ้มปริ่มอุรา
อีกไม่ช้าอาจลืมเศร้าได้จริงจริง

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๕ กรกฎา ๕๒

ตัวเอง

๐ ยังต้องการอะไรในวันนี้
ในเมื่อมีอากาศที่สดใส
ในเมื่อมีชีวิตแลจิตใจ
ในเมื่อยังเคลื่อนไหวได้สมบูรณ์
๐ ยังจะเอาอะไรกันอีกเล่า
ในเมื่อโลกของเรายังคงหมุน
ชีพจรไม่เหนื่อยล้าอย่าอาดูร
ขณะที่เราทุกคนยังเป็นคน
๐ ยังกังวลเรื่องใดกันอีกเล่า
ก็ตัวเรายังเป็นเราอย่าสับสน
เป็นทรัพยากรของโลกเหมือนทุกคน
ใช่หุ่นยนต์บ้าใบ้ไร้ชีวิน
๐ ก็จะเอาอะไรกันนักหนา
เมื่อเวลายังมีให้ไม่รู้สิ้น
ในเมื่อเท้ายังพร้อมจะย่ำดิน
ทั้งหูตายังยินยลอย่างเคยเป็น
๐ ยังต้องการอะไรกันอีกหรือ
ก็นี่คือสิ่งรอบข้างที่เคยเห็น
ทุกนาทีผ่านพิกัดที่จัดเจน
จะเรียกกรรมหรือเวรก็ตามใจ
๐ ยังต้องการอะไรอีกหรือนั่น
ยังเสาะหาสวรรค์วิมานไหน
ยังต้องการอิทธิฤทธิ์อีกหรือไร
ยังต้องการทิพย์ใดมาทดแทน
๐ เพียงแค่นี้น่าเพียงพอนะชีวิต
แม้มีสิทธิ์มีหวังอย่างแร้นแค้น
แม้เป็นเพียงธุลีหินแห่งดินแดน
แต่ข้างในยังมีแก่นอยู่เหมือนกัน
๐ อย่าไปหวังพึ่งพาใครมาช้วย
อย่าไปหวังโชคอำนวยช่วยแข่งขัน
อย่าไปหวังทำดีมีรางวัล
อย่าไปหวังขึ้นชั้นโดยช่วงชิง
๐ อันกลไกทางสังคมสุดซับซ้อน
เป็นโครงสร้างที่ยอกย้อนและยุ่งยิ่ง
เป็นกลไกที่ลึกลับสับสนจริง
หากหวังอิงเต็มตัวกลัวอ่อนแรง
๐ จักยืนหยัดด้วยตนตัวไม่มัวหลง
จักยืนหยัดอย่างทรนงและเข้มแข็ง
จักยืนหยัดด้วยหัวใจไม่เปลี่ยนแปลง
จักยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๕ กรกฎา ๕๒

ไผ่

๐ เมื่อหน่อแขนงแห้ง
กรอบเกร็งแข็งอยู่ข้างกอ
ต้นไผ่สิโน้มงอ
ลงโอบอุ้มอย่างเอ็นดู
๐ เมื่อหน่อแขนงไหว
ไยไผ่ใหญ่ไม่อดสู
ใครเล่าจักล่วงรู้
ถึงความนัยก่อไผ่เอง

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๕ กรกฎา ๕๒

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จินตนาการจากซอกตึก

๐ กลิ่นสดสดจากสุมทุมและพุ่มไม้
น้ำใสใสไหลจากธารผ่านโขดหิน
ภาพซึ้งซึ้งเมื่อฝูงนกโบกปีกบิน
เสียงคุ้นคุ้นนกเขาคูอยู่ประจำ
๐ เป็นสีสันสดใสชื่นใจนัก
เป็นความรักความผูกพันวันยันค่ำ
เป็นความหมายความหลังฝังใจจำ
เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรมอยู่ในตัว
๐ จากดอกไม้ดอกหนึ่งถึงหลายดอก
จากสายหมอดถึงเมฆหม่นมนต์สลัว
จากเช้า-สาย-บ่าย-เย็น เน้นใจรัว
จากตนตัวซึมซ่านผ่านถึงใจ
๐ อยู่ที่ใดจักสุขใจไปกว่านี้
แม้ไม่มีม่านแลเป็นแพรไหม
แม้มิใช่วิมานอันวิไล
ก็ยังมีม่านใบไม้มาทดแทน
๐ มองออกไปหัวใจลิ่วไปแล้ว
ไร้น่านแนวบินไกลได้สุดแสน
ดั่งปีกทิพย์กายเทียมเยี่ยมทุกแดน
ลืมคับแค้น ลืมสังขาร กาลเวลา
๐ นั่นเป็นเพียงจินตนาการหลังม่านตึก
เป็นเพียงนึกเพียงฝันอันอ่อนล้า
จริงจริงแล้วเราถูกขังดังปูปลา
ต้องหันหน้าเข้าซอกตึกนึกเอาเอง

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๕ กรกฎา ๕๒

ดับได้ไหม

๐ ฉันวิ่งหนีพวกคนบ้ามาถึงบ้าน
ซี่โครงบานหอบไอหายใจขัด
หน้าก็มืดตาก็ลายมองไม่ชัด
ต้องเลี้ยวลัดหลบซุกซุนวุ่นวายใจ
๐ ไปทางไหนก็ไม่พ้นพาลพ่นพิษ
เขาคงคิดจะกันนั่นไฉน
ฉันซ่อนตัวสู้หลบลี้หนีไปไกล
ก็ยังไม่พ้นพิษมนุษย์มาร
๐ ฉันใกล้ตายแล้วนะจะบอกให้
ลมหายใจแผ่วผิวหวิวสะท้าน
โดนคนบ้าพ่นควันบ้ามาเล่นงาน
หลบเข้าบ้านเซซังยังติดตาม
๐ แมยันต์กันบุหรี่ที่หน้าบ้าน
ยังหน้าด้านพ่นกันเฉยทำเย้ยหยาม
เหมือนจะซ้ำให้ตายในครู่ยาม
ได้โปรดเถิดโปรดอย่าทำให้ช้ำเลย
๐ ทุกวันนี้ฉันอ่อนแอจะแย่แล้ว
ไม่ผ่องแผ้วโรคร้ายผุดสุดจะเผย
ในบางครั้งเครียดแทบคลั่งก็ยังเคย
โปรดอย่าเลยอย่าฆ่ากันฉันยิ่งกลัว
๐ หยุดได้ไหม ดับได้ไหม ไฟบุหรี่
เลิกเสียที เลิกเสพมันควันโฉดชั่ว
ทิ้งวันนี้ทิ้งเถิดหนาอย่าเมามัว
อย่ารวมหัวพ่นควันฆ่ากันเลย

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๔ กรกฎา ๕๒

เที่ยวทุ่ง

๐ นั่งหลังควายเป่าขลุ่ยลุยท้องทุ่ง
แล้วลงเรือเก็บผักบุ้งชมจอกแหน
ถอนสายบัวกำลังบานละลานแล
ลงทอดแหหาปลามาต้มกิน
๐ พอบ่ายคล้อยจูงควายเข้าเทียมไถ
ค่อยค่อยไล่เข้านาดอนก่อนแสงสิ้น
เสร็จจากนั้นก็ถอนกล้าดำนาดิน
เมื่อฝนรินจึงหลบฝนบนทับนา
๐ ฟืนสุมไฟไล่ยุงแทนมุ้งม่าน
ช่วยหุงหาอาหารด้านชายป่า
ครั้นอิ่มหนำชวนฮาเฮเสวนา
พร้อมทอผ้าทอเสื่อเพื่อใช้งาน
๐ บ้างจักสานเครื่องใช้ด้วยไม้ไผ่
บ้างปั่นฝ้าย บ้างสีซอคลอประสาน
พอตกดึกฟังเสียงสัตว์กล่อมรัตติกาล
ทั้งหรีดหริ่ง เรไร ปาน คีตกร
๐ นักท่องเที่ยวฝรั่ง จีน ยินดีมาก
ได้สุขจากฝึกขี่ควายและคราดไถ
อีกได้รู้เรื่องวิถีชีวีไทย
ถ่ายภาพไว้ทุกขั้นตอนตามโปรแกรม
๐ เป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ในชีวิต
ได้หมอนขิดและผ้าทอเป็นของแถม
ประทับใจไม่จืดจางต่างโรงแรม
ความยิ้มแย้มเปรมปรีดิ์นี้จำนาน

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๔ กรกฎา ๕๒

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิกฤติ

๐ ยามเย็นบัดดลบนฟ้า
ลมมาฟ้าครืนครึ้มฝน
หวีดหวิวยอดไม้ไหววน
คล้ายคนไหวหวั่นวุ่นวาย
๐ หลายเรื่องหลายราวรุมเข้า
หม่นเศร้าจิตไข้ใจหาย
ประตูปิดตันอันตราย
มองหายไม่เห็นทางไป
๐ ธุรกิจกลายเป็นทุรกิจ
ความผิดโถมทับรับไม่ไหว
ความหวังล้มเหลวเร็วไว
ไม่ตายแต่เลี้ยงไม่โต
๐ เงินทองไหวตัวมั่วนิ่ม
ใครอิ่มใครอดหมดโผ
ใครได้ใครเดี้ยงเสียงโห่
ผอมโซซมซานเซซัง
๐ พันธุ์อึดดิ้นรนทนได้
มวยไทยถีบหน้าส้นหลัง
ศอก เข่า เตะตัดหมัดสั่ง
หันหลังพิงเชือกสู้ตาย
๐ เหนื่อยหิวโหยไห้ใจสั่น
ฟาดฟัน แรงลดหดหาย
เซ็งนักถ่มถุยน้ำลาย
จุดหมายที่ยกต่อไป
๐ รอวันเวลามาช่วย
รอหวยรอโชคผลักไส
หลุดพ้นจุดแดงแห่งไฟ
หวังใจได้ผุดจุดดี

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๒ กรกฎา ๕๒

รอ

๐ นั่งมองเมฆละเลงสีที่เวิ้งฟ้า
สีทองจ้า ปนแสด-ขาว พราวสดใส
อีกสักครู่ลงสีเทาไม่เข้าใจ
ป้ายทับไปทับมาดำทะมึน
๐ ตวัดแปรงหวีดหวิวคล้ายกริ้วโกรธ
คงพิโรธขยี้เมฆเสกเป็นปื้น
กระแทกเสียงขู่คำรามร้องครืนครืน
พอค่ำคืนก็เงียบหายไม่เห็นเลย
๐ ผืนแผ่นดินยังรอฟ้าให้ลงสี
แต้มพงพีไร่นาอย่าทำเฉย
มัวเล่นสีผสมผสานนานจังเลย
เมื่อใดเอยจะสาดมาชาวนารอ

ศักดิ์เรือง วลี /๑๒ กรกฎา ๕๒

นกเนรมิต

ฉันจะสร้างนกเล็กเล็กขึ้นตัวหนึ่ง
เป็นนกแท้ไปทุกส่วน
เว้นแต่ตรงปีกทั้งสอง
ฉันจะเอาปีกอันสวยงามของผีเสื้อใส่แทน
เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ฉันจะปล่อยให้โบยบินออกไปทั่วทุกหน
ไปบอกแก่เยาวชนของชาติ
ว่า......
แม้ความคิดและวิญญาณของพวกเธอจะเสรี....
.......แต่..ฉันอยากให้พวกเธอเพ้อฝัน......
.......และใฝ่ฝัน.....ถึงแต่สิ่งที่ดีงาม

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๑ กรกฎา ๕๒

ตำนานเรื่องผู้เฒ่ากับปลามัน

๐ มาจะกล่าวบทเก่าเก่า
ถึงเรื่องราวผู้เฒ่าแห่งชายป่า
แกนอนหนาวเฝ้าพงไพรหลายเพลา
รพึงว่าข้าอยากกินเนื้อปลามัน
๐ จึงลากแหย่องไปที่ท้ายวัด
เฒ่าแจงจัดทอดแหแบบหุนหัน
ลักได้ปลาก็ลัดกลับกระท่อมพลัน
แล้วผ่าฟันไม้ฟืนมาก่อไฟ
๐ แกย่างปลาเป่าไฟให้กลิ่นโชย
พวกหมาโหยแมวหิวได้กลิ่นไหม้
พากันกรูรุมล้อมรอบกองไฟ
หวังจะได้ส่วนแบ่งแห่งเนื้อปลา
๐ หมาก็ฮึ่มแมวก็ฮ่ำทำหวงก้าง
พอผ้เฒ่าเผลอวางไม่รอช้า
ต่างพุ่งตัวพันตูกรูแย่งปลา
ทำปากอ้าน้ำลายไหลไล่ระราน
๐ จึงผู้เฒ่ารีบฉวยปลามาให้พ้น
สุดจะทนพวกสัตว์ดิรัจฉาน
แต่ก็ใจเย็นไว้ไม่ระราน
แล้วจึงหว่านวาจาแฝงเล่ห์กล
๐ ว่าปลานี้ข้าจับมาเพื่อพวกเจ้า
ขอข้าเผาให้สุกอย่าสับสน
แล้วจะยกให้ไปลิ้มทุกตัวตน
จะร้อนรนแย่งยื้อดื้อไปไย
๐ พอทีเผลอเตะหมาแมวจนล้มกลิ้ง
คว้าปลาปิ้งขึ้นกระท่อมทำเฉไฉ
นั่งเปรมปรีดิ์กับเนื้อปลาอย่างสาใจ
ไม่เยื่อใยในหมาหิวกับแมวโซ
๐ พลางก็นึกกระหยิ่มอย่างมีชัย
ว่ามันเรื่องอะไรใครจะโง่
ไปสงสารมันทำไมพวกซูบโซ
ปลาตัวโต ก็ตัวกูโขมยมา
๐ ชะ...อยู่อยู่จะเข้ามาชุบมือเปิบ
ชักกำเริบซะแล้วพวกแมวหมา
เกิดมาโง่ควรจะอดรสมันปลา
ให้ทนรับเวรา (ตาม)ยถากรรม

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๑ กรกฎา ๕๒

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หมอใหญ่

บ้านที่ชื่อ....
สงบสุข
ฉันตามหามาตลอดชีวิต
บางครั้ง...
คล้ายกับว่า
ได้พบและได้เข้าพักอาศัยแล้ว
แต่...เอาเข้าจริงๆ
มันเป็นเพียงโรงพยาบาล
ที่เข้าไปรักษาโรคประสาท
ที่มีหมอใหญ่
ชื่อ....ความอดทน
ศักดิ์เรือง วลี /๑๑ กรกฎา ๕๒

แด่ เพื่อนมนุษย์

๐ ฉันจักมองโลกแต่ในแง่ดี
ฉันมากมีความรักจักมอบให้
จักเผื่อแผ่ผู้คนล้นน้ำใจ
พร้อมอภัยเพื่อมนุษย์ทุกผู้คน
๐ แม้ใครรักใครชังก็ช่างเขา
อันตัวเรามอบรักให้ไม่สับสน
ถ้าเขาชังไม่ชังตอบดูชอบกล
ถึงทุกข์ทนอย่างไรไม่อาทร
๐ หวังสังคมมนุษย์นี้ดีขึ้นบ้าง
ขอเริ่มสร้างสิ่งนี้ที่เราก่อน
แล้วรอผล แม้นานนิรันดร
หวังได้พรโลกร่มเย็นเป็นรางวัล

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๑ กรกฎา ๕๒

ประวัติศาสตร์

การเปลี่ยนแปลง
สร้างประวัติศาสตร์ให้สังคม
บางเรื่อง
ผ่านไปนับล้านปี
จึงรู้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง
บางเรื่องรู้ได้
แม้เพียงเสี้ยววินาที
.....ถึงอย่างไร
ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง
เพราะมันเป็นประวัติศาสตร์

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๑ กรกฎา ๕๒

มด

บินสูง
เห็นกว้าง
บินต่ำ
เห็นชัด
........เห็นหมด
แม้มิได้บิน
.....นก
ศักดิ์เรือง วลี /๑๑ กรกฎา ๕๒

หนูตะเภา

๐ ขอบคุณหนูตะเภา
ขอบคุณแทนมนุษย์
ขอบคุณแทนสัตว์
๐ ขอบคุณในทุกเรื่อง
ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการดำรงชีวิต
ขอบคุณในทุกเรื่อง
ยกเว้น
..........เรื่องของความรัก

ศักดิ์เรือง วลี /๑๑ กรกฎา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลมตะวันตก

๐ ลมตะวันตก
โหมพัดกระหน่ำ
รุนแรงและต่อเนื่อง
๐ ทะเลหมอกแห่งตะวันออก
แผ่คลุมสุสานแห่งบรรพบุรุษ
อย่างแน่นหนา
และหนาแน่น
๐ ไม่อาจคาดเดาได้
ว่าจักปกป้อง
........ได้เนิ่นนานสักเท่าใด

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๐ กรกฎา ๕๒

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นักฝันเกือบตายไปแล้ว

๑. นักฝันเกือบตายไปแล้ว
ทุกแถวแนวหน้าแนวหลัง
จุดยืนถูกเบียดถูกบัง
เหมือนตายถูกฝังทั้งเป็น
๒. ขวัญหดขวัญหายใจห่อ
ลับลับล่อล่อพอเห็น
ผลุบผลุบโผล่โผล่เตรียมเผ่น
ถ้าเห็นทำท่าไม่ดี
๓. ทุรยุคทุรชนปลล้นสิทธิ์
ทุรกิจทุรกัดบัดสี
ทุลักทุเลสิ้นดี
อย่างนี้นักฝันบรรลัย
๔. ข้าวยากหมากแพงแย่งยื้อ
คนซื้อคนผ่อนนอนใหล
หาอยู่หากินดิ้นไป
ทิ้งฝันทิ้งใฝ่ไม่มอง
๕. อดอยากปากแห้งแรงหมด
รันทดร้อนเร่าเศร้าหมอง
เอาไว้มีแรงค่อยลอง
ประคองเก็บฝันเติมฟืน
๖. จุดไฟเคี่ยวฝันกันใหม่
สร้างฝันส่องไฟไม่ฝืน
รอวันเพื่อนฝันขวัญคืน
หยัดยืนร่วมฝันกันอีกที

ศักดิ์เรือง วลี /๘ กรกฎา ๕๒

ฝน

ฤดูฝน
ฟ้ามักจะมืดครึ้ม
บางครั้งถึงขั้นคลุ้มคลั่ง
แล้วก็จะพ่านพ้นไป
กลับมาสงบดังเดิม
หลังจากฝนหยุดตกแล้ว
ชีวิตบางช่วง.....
ของผู้คน
ก็เป็นฉะนี้นี่เอง

ศักดิ์เรือง วลี ๘ กรกฎา ๕๒

ไม่มี

๐ กวีจะไม่มี
นักบวชจะไม่มี
นักรบก็ไม่มี
......อีกหลายกลุ่ม...ก็จะไม่มี
ถ้าโลกนี้มีแต่ความสุข
ถ้าโลกนี้มีแต่ความราบรื่น

ศักดิ์เรือง วลี / ๘ กรกฎา ๕๒

ก้อนหิน

๐ ก้อนหินแต่ละก้อนแตกต่างกัน
ทั้งรูปลักษณ์ผิวพรรณอันรอบด้าน
ทั้งเนื้อนอกมวลในไม่ประมาณ
ทั้งถิ่นฐานที่มาก็ต่างมุม
๐ แต่เมื่อใดเทกองเข้ารวมกัน
ต่างก็กลิ้งคำยันอย่างสุขุม
พลิกซ้ายพลิกขวาเข้าหากลุ่ม
แล้วควบคุมเข้าเกณฑ์อยู่เป็นกอง

ศักดิ์เรือง วลี / ๘ กรกฎา ๕๒

ความรักในเพื่อนมนุษย์

๐ ถ้าเลือกเป็นได้
ฉันขอเป็นนก
นกที่มีปีกแข็งแรงราวปีกของเครื่องบิน
และสีสันสวยงามราวปีกของผีเสื้อ
๐ ฉันจะออกโบยบิน
มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
วกไปทางด้านทิศเหนือ
เวียนไปทางทิศตะวันออก
ล่องลงทางทิศใต้
วนไปทั่วทุกหน
วนไปทั่วทุกแห่ง
๐ ฉันจะแวะเยือนดินแดนต่างๆ
ดินแดนที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา
ดินแดนที่มีการแบ่งแยกเรื่องผิวพรรณ
ดินแดนที่มีความขัดแย้งทางความคิด
ดินแดนที่มีความขัดแย้งด้านการเมือง
ดินแดนที่มีการกีดกันด้านเศรษฐกิจ
ดินแดนที่มีปัญหาด้านสุขภาพและอาหาร
รวมถึงดินแดนที่มีการแข่งขันด้านอาวุธ
๐ ทุกดินแดนที่ฉันเยือน
ฉันจะขอพูดกับผู้คน...ในเรื่องเดียวกัน
คือ..."เรื่องความรักในเพื่อนมนุษย์"
๐ เมื่อฉันได้พูด
พูดจนผ้คนเข้าใจตรงกันแล้ว
..............ฉันก็จะบินกลับทันที

ศักดิ์เรือง วลี / ๗ กรกฎา ๕๒

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

น้ำตา

ฟ้าเอย
คลุ้มคลั่ง
คร่ำครวญอยู่ไย
บัดนี้...ถึงทีเจ้า
ที่จะต้องร้องไห้บ้างแล้ว
ข้าเอง
ร้องไห้
คร่ำครวญมาหลายเพลาแล้ว
ร้องไห้
วิตกและกังวล
มาตั้งแต่ต้นฤดูเพาะปลูกของปีแล้ว
ฟ้าเอย
หลั่งน้ำตาลงมาเถิด
หลั่งรินลงมาให้เป็นสาย
หลั่งลงมาโลมดิน
หลั่งลงมาโลมชีวิต
ทีนี้แหละ
ข้าจะได้ยิ้ม
ข้าจะได้หัวเราะ
ข้าจะได้ระรื่น
ท่ามกลางสายน้ำตาแห่งเจ้า

ศักดิ์เรือง วลี /๗ กรกฎา ๕๒

สงสาร (เรื่องสั้นๆ)

๑. น่าสงสารเศรษฐีมีงานยุ่ง
วันวันมุ่งค้าขายงบหลายล้าน
ลงทุนตั้งสาขาค้ากันบาน
คอยคาดการณ์เก็งกำไรให้วุ่นวาย
๒. ครั้นไปไหนมาไหนให้คนห่วง
กลัวถูกลวงอุ้มไปฆ่าน่าใจหาย
ผลประโยชน์ขัดขวางถึงปางตาย
พวกโจรหมายจับจ้องจะลองดี
๓. ยามจะกินก็ยุ่งกลัวพุงแตก
กินของแปลกของแพงแข่งศักดิ์ศรี
สารพัดสรรหาในนาภี
อุ้งตีนหมีสมองลิงยิ่งน่ากลัว
๔. ครั้นยามนอนแสนโมโหโทรศัพท์
พอจะหลับเสียงกริ๊งยิ่งเวียนหัว
มีเสียงถามเรื่องหุ้นวุ่นกันนัว
กกอีตัวกำลังเพลินเชิญไปพลัน
๕. ตรวจบัญชีงบดุลทุน-กำไร
ลมหายใจเป็นเงินเกินจะขัน
จะขี้เยี่ยวล้างหน้าหาแปรงฟัน
เงินทั้งนั้นในสมองของนายทุน
๖. สู้พวกฉันไม่ได้สบายมาก
ไม่ลำบากยากใจไม่หัวหมุน
ประกอบการอย่างสบายไม่ใช้ทุน
นับว่าบุญจริงหนอ...เป็น ขอทาน

ศักดิ์เรือง วลี / ๗ กรกฎา ๕๒

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แด่ส่งแวดล้อมที่น่าสงสาร

๑. สิ่งเลวร้ายแวดล้อมกลุ้มรุมโลก
วิปโยคอัปยศปรากฎทั่ว
มันคืบคลานเข้ามาอย่างน่ากลัว
จะซุกหัวซ่อนกายไปไหนกัน
๒. มลภาวะเป็นพิษวิปริตมาก
เนื่องมาจากแนวชีวีที่แปรผัน
จากสังคมเรียบง่ายในรายวัน
เป็นประชันขันแข่งสู้แย่งชิง
๓. ไม่มีคนสนใจต่อใครนัก
มุ่งหาญหักโหดร้ายคล้ายผีสิง
เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ไม่ประวิง
ลืมแม้สิ่งรอบกายทำลายมัน
๔. สารเคมีสังเคราะห์มานึกว่าแน่
หวังเพียงแต่แก้ปัญหาตรงหน้านั่น
ผลตามมาเป็นปัญหาสารพัน
โทษมหันต์ย้อนคืนมากลืนตัว
๕. ค่านิยมที่ผิดทำพิษเรื่อย
ความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อดังไฟชั่ว
ทรัพยากรเร่งผลาญเผาอย่างเมามัว
โลกระรัวรุ่มร้อนดังฟอนไฟ
๖. มุ่งพิทักษ์เพียงชีวาของมานุษย์
เพียรยื้อยุดคุณค่าอยู่ขวักไขว่
ชีวิตอื่นอยู่รอบตนไม่สนใจ
มุ่งทำลายไร้การุณแทบสูญพันธุ์
๗. แม้ป่าไม้มิตรแท้มาแต่ต้น
ยังไม่พ้นถูกรังแกจนแปรผัน
เคยอุดมสมบูรณ์คุณอนันต์
เหลือไว้เพียงภาพฝันแห่งวันคืน
๘. อีกสังคมทำช่องว่างไว้ห่างมาก
จึงลำบากยากจะถมความขมขื่น
พวกที่จนแทบไม่มีที่กินกลืน
พวกรวยรื่นก็ระเริงจนเหลิงไป
๙. อีกทุกฝ่ายต่างปล่อยทิ้งสิ่งรอบข้าง
รัฐก็อ้างสร้างสังคมให้สดใส
ห่วงแต่เรื่องปากท้องของใครใคร
ลืมใส่ใจ สิ่งแวดล้อมจึงเลวลง
๑๐. สังคมโลกมุ่งแข่งขันทางการค้า
แข่งก้าวหน้าเทคโนโลยีที่ใหลหลง
ไม่ร่วมมือร่วมใจในเผ่าพงศ์
สิ่งรอบตัวมลายลงเป็นรายวัน
๑๑. มุ่งพัฒนาผลักดันด้านวัตถุ
หวังบรรลุโลกวิไลดังใฝ่ฝัน
ลืมรักษาค่าแท้จริงสิ่งผูกพัน
สุดท้ายมันก็หลุดร่วงลงไปไกล
๑๒. จึงได้แต่สงสารสิ่งแวดล้อม
จะให้เตี้ยอุ้มค่อมอย่างไรไหว
ได้แต่เศร้าสะท้อนอกสะท้อนใจ
เห็นป่าไม้ อากาศ น้ำ ช้ำเจียนตาย

ศักดิ์เรือง วลี /๕ กรกฎา ๕๒