วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

โค-ควาย-คน (โคลงสี่กระทู้ จากสุภาษิต คำพังเพย)

๑. วัว ควายนับกี่ร้อย พันฝูง
หาย ลับโดนลักจูง ไล่จี้
ล้อม รั้วปักเสาสูง สักหน่อย
คอก เก่าผุอย่างนี้ ไม่พ้นมือโจร
๒. รัก ใดคือค่าแท้ คำรัก
วัว ควายถึงนอนปลัก รู้ได้
ให้ สูงต่ำยังประจักษ์ ใจอยู่
ผูก รักผูกใจให้ มั่นไว้โดยใจ
รัก ใดจักเท่าแม้น มารดร
ลูก เกิดจากอุทร รักแท้
ให้ ลูกพึงอาทร อกแม่
ตี ลูกถึงลงแส้ ดุบ้างอย่าถือ
๓. ตี อกชกหัวช้ำ ชอกเอง
ควาย ขวิดใครข่มเหง ควายได้
กระทบ กระทั่งดังนักเลง ลองข่ม
คราด ไถกระแทกให้ กระเทือนทั้งเทือกแถว
๔. ความ ใดเกิดมาได้ อย่างใด
วัว ก่อหรือควายไหน ก่อไว้
ไม่ ทันที่จะไป ปัดเป่า
หาย ไม่เห็นรอยได้ ห่อนรู้หนไป
ความ ผิดอันนิดน้อย หนึ่งกระทง
ควาย หายซุกในพง ยอกย้อน
เข้ามา ยุให้หลง ทางมั่ว
แทรก ความเย็นให้ร้อน อย่างนี้ควรฤา
๕. โค ควายทนไล่ใช้ ไถนา
แก่ เฒ่าวัยชรา ไม่เว้น
กิน ฟางเหลือระอา เต็มที่
หญ้าอ่อน อย่าซ่อนเร้น ส่งบ้างบางเวลา
๖. นก กระจิบกระจอกจ้อ จอแจ
เอี้ยง โมงไม่วอแว วุ่นว้า
เลี้ยง ลูกอยู่ดูแล เย็นค่ำ
ควายเฒ่า คงคอยท่า นกเจ้าจับหลัง
ควาย โคคราดไถให้ ทำนา
กินข้าว นิดเดียวหา เรื่องไล่
นกเอี้ยง โฉบบินมา กินต่อ
หัวโต ยังยอมให้ นกเอี้ยงกินเพลิน
๗. ดู ใดดูถี่ถ้วน ทุกทาง
วัว ควายดูหัวหาง ถ่องแท้
ให้ดู หูคอคาง จนทั่ว
หาง ดกดังพวงแส้ เช่นนั้นจึงงาม
ดู คนดูกลับย้อน เถาตระกูล
นาง ใดหมายเทิดทูน คู่หมั้น
ให้ดู อย่าอาดูร ใจอ่อน
แม่ ย่ายายเธอนั้น ที่แท้ฉันใด
๘. วัว ดุโดนทำร้าย ถูกฟัน
สันหลังหวะ คอยหัน หลังป้อง
โง่ เง่างุนงงงัน งกเงิ่น
เป็นควาย ซื่อไม่ต้อง เกี่ยวข้องบาดแผล
๙. วัว ควายยามย่างเยื้อง สี่ขา
ลืม มองต่ำลงมา ที่เท้า
ตีน เหยียบย่ำมรรคา ไปทั่ว
วัวลืมตีน ที่ก้าว ดั่งผู้ลืมตน
๑๐. วัว ควายจับคู่เข้า เทียมเกวียน
เคยขา คล่องทางเวียน ไม่ข้อง
ม้า แข่งครอบบังเหียน หัดง่าย
เคยขี่ เคยจับต้อง ต่างรู้ในที
๑๑. วัว ควายอายุน้อย ฟันคะนอง
แก่ เฒ่ากรามสยอง ย่ำเขี้ยว
กิน อยู่เพียงประคอง ความอยาก
หญ้าอ่อน ยามขบเคียว ค่อยคล่องโคนฟัน
๑๒. วัว ควายกินเมื่อย้อน ยามโหย
ไม่กิน ไม่อยากโดย ขู่ได้
หญ้า อ่อนถึงมาโปรย เต็มอยู่
อย่าข่มเขา ขืนให้ กลืนกล้ำโดยกำลัง
๑๓. อย่าข่มเขา โคให้ กินเลย
โค ควายมันไม่เคย จะกินให้
ขืน ไปมันกลับเฉย- เมยผ่าน
ให้กลืนหญ้า อย่าได้ ข่มให้มันกิน
๑๔. วัวควาย ตะกละกล้า ยามกิน
เห็นแก่หญ้า แบบนดิน เท่านั้น
ขี้ข้า ตะกรามชิน ชอบมั่ว
เห็นแก่กิน ไม่กลั้น ข่มไว้อาการ
๑๕. เขียน ขีดรูปขู่ไว้ หวังผล
เสือ สิงห์วาดตัวตน เต็มหน้า
ให้ เห็นยามวัวยล หวังขู่
วัวกลัว จนไม่กล้า ผ่านใกล้รูปเสือ
๑๖. ฆ่าควาย หวังแล่เนื้อ เป็นอาหาร
อย่า หวงเครื่องผสาน คลุกเคล้า
เสียดาย มังสาหาร รสจืด
พริก เกลือผสมเข้า ให้คุ้มสมควร
๑๗. อยู่บ้าน ใครอย่าแล้ง น้ำใจ
ท่าน อยู่กินอย่างไร ใฝ่รู้
อย่านิ่ง อย่านอนไป เปล่าเปล่า
ดูดาย ไม่ใช่ผู้ ที่รู้คุณคน
ปั้นวัว ดินเหนียวน้อย พองาม
ปั้นควาย สักสองสาม ตัวไว้
ให้ลูกท่าน เกิดความ ประทับจิต
เล่น วัวควายที่ปั้น ท่านรู้ประทับใจ

ศักดิ์เรือง วลี / ๑ ตุลา ๕๒

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

สายบัวขาว


๐ บัวสายสีขาวคล้าย ข้าวสาร
สายสายบัวเบ่งบาน บ่อบ้าน
สายบัวรับประทาน เอร็ดอร่อย
กลีบบัวบานสะอ้าน อิ่มโอ้อกใจ

ศักดิ์เรือง วลี /๒๙ กันยา ๕๒

สระบัวแดง


๐ บัวแดงแทงดอกได้ โดยดี
ดอกบานเหนือนที ถี่ถ้วน
ยามสายยอแสงสี สวยสด
ใบดอกสายบัวล้วน อวยเอื้อประโยชน์คน

ศักดิ์เรือง วลี /๒๙ กันยา ๕๒

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

สีแห่งความหวัง


๐ เอาดินดอนที่ได้ มรดก
รองรับฝนรินตก จากฟ้า
แรงควายช่วยปราบรก ไถถาก
เมล็ดข้าวปลูกเป็นกล้า หว่านไว้กับหวัง
๐ นานวันนอนนั่งลุ้น รวงทอง
วันวันแหงนหน้ามอง เมฆเค้า
ฝนหายจิตใจหมอง เหมือนหมด
ฝนมาค่อยคลายเศร้า ชื่นชื้นใจคืน
๐ เขียวเอยเขียวใบข้าว เขียวขจี
สวยเอยสวยสดสี ยอดหญ้า
ซึมแทรกซ่านฤดี ใดเท่า
สีแห่งหวัง เจิดจ้า ช่วยฟื้นชีพชาวนา
ศักดิ์เรือง วลี /๒๗ กันยา ๕๒

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตประจำวัน

....การดำรงชีวิตประจำวัน
ส่วนหนึ่งคือการตอบคำถาม
ที่ผ่านเข้ามาให้ขบคิด
วันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง
นาทีต่อนาที
หรือในทุกลมหายใจ
...ตอบได้ก็แก้ได้ ผ่านได้
...ตอบไม่ได้ ก็ถึงทางตัน
แต่..อย่ามัวมืดมนอยู่คนเดียว
เพราะในชีวิตจริง
เรามีเพื่อน เรามีตัวช่วย
และเรามีครู
ศักดิ์เรือง วลี /๒๑ กันยา ๕๒

คำคอย

๐ คอยฝนจากฟากฟ้า..ฝนหาย
คอยหมอกมาละลาย..ต่อหน้า
คอยลมเร่งพระพาย...พัดผ่าน
คอยอุ่นคอยไอหล้า..แค่เอื้อนคำคอย ๐๐ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี /๒๑ กันยา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

ช่องดูดาว

แม้อยู่เพียงลำพัง
ในโลกส่วนตัว
ที่คับแคบ
และมืดมิด
....แต่ก็ไม่ลืม
ที่จะเจาะช่องดูดาว
เอาไว้ด้วย
ศักดิ์เรือง วลี /๑๘ กันยา ๕๒

สัญชาตญาณ

...ต้นไม้ใกล้ฝั่ง
ดิ้นรนแผ่รากให้ไกล
หยั่งรากให้ลึก
มิใช่ปรากฏการณ์
แต่เป็น....สัญชาตญาณ
ศักดิ์เรือง วลี /๑๘ กันยา ๕๒

บุญคุณ

....ณ ช่วงบ่ายคล้อยแห่งวัน
ฉันนึกขอบคุณหัวใจ
ขอบคุณมันสมอง
ขอบคุณมือ เท้า แขน และขา
ขอบคุณกระดูกและเส้นเอ็น
ขอบคุณปาก
ขอบคุณกระเพาะ
ขอบคุณตับไตไส้พุง
ขอบคุณทุกองคาพยพแห่งฉัน
ขอบคุณจิตใจ
ขอบคุณอารมณ์
ขอบคุณความรู้สึกและจินตนาการ
....ขอบคุณที่พากันรับใช้ฉันมานาน
....ขอบคุณที่ทนทานกับพฤติกรรมของฉัน
....ขอบคุณที่พยุงและประคับประคองฉัน
ให้อยู่รอดมาได้ จนถึงเพลานี้
ฉันเป็นหนี้บุญคุณพวกเธอ
....ต่อจากนี้ไป ฉันจักดูแลพวกเธอเอง
เพื่อทดแทนบุญคุณ

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๘ กันยา ๕๒

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

โรงละคร "ราชการ"

๑. ณ โรงละคร "ราชการ" นี้
หลายชีวี ถูกมอบหมาย หลายบทบาท
แต่ละบท เล่นตามสิทธิ์ กลัวผิดพลาด
โดยสำนึก ต่อชาติ ประชาชน
๒. เคยได้รับ ทั้งดอกไม้ ทั้งก้อนอิฐ
ค่อนชีวิต ทุ่มเททำ นำเหตุผล
ในบางที ที่ใจท้อ ก็จำทน
ด้วยตัวตน เลือกเฟ้น เส้นทางนี้
๓. ในบางครั้ง เหนื่อยกาย คล้ายหมดแรง
พอเวลา ออกแสดง ไม่เคยหนี
แม้บางฉาก สุดสับสน บนเวที
ยังพร้อมที่ จะแสดง ให้คนชม
๔. เล่นถูกใจ เสียงปรบมือ ดังกึกก้อง
ตอนบกพร่อง โดนโห่ไล่ ให้ขื่นขม
ค่าแสดง ได้เพียงนิด ไม่คิดตรม
จิตวิญญาณ ใฝ่สร้างสม สังคมดี
๕. ความภูมิใจ คือรางวัล อันสูงค่า
ทุกเวลา จิตตระหนัก ในศักดิ์ศรี
มุ่งหมายมั่น ขยันทำ ตามหน้าที่
หกสิบปี เริ่มอ่อนแรง ทั้งใจกาย
๖. ได้เวลา เอ่ยคำว่า ขอลาจาก
ด้วยละคร จบฉาก ตามเป้าหมาย
กำหนดปิด ฉากลง ตรงบั้นปลาย
นับเป็นฉาก สุดท้าย ของหลายคน
๗. ส่วนละคร โรงนี้ มีเล่นต่อ
ผู้อยู่หลัง อย่าเพิ่งท้อ อย่าสับสน
จงมุ่งมั่น เล่นละคร ตอนของตน
บทเข้มข้น คนเข้มแข็ง แสดงไป
๘. พวก สว. (ผู้สูงวัย) ลงไปก่อน
แล้วคงย้อน เป็นผู้ชม ผู้เชียร์ให้
เป็นพี่เลี้ยง คอยติชม เติมแรงใจ
คนรุ่นใหม่ ไฟแรง แสดงดี
๙. จงอย่าลืม โรงละคร ราชการ
ควรสืบสาน เชิดชู กู้ศักดิ์ศรี
เป็นได้เพียง นักแสดง บทที่ดี
ห้ามผิดที่ เล่นบทร้าย ทลายโรง

........................................................
บทกวีนิพนธ์นี้ เพื่อเชิดชู ข้าราชการที่ครบวาระเกษียณอายุราชการ
จาก ศักดิ์เรือง วลี / ๑๓ กันยา ๕๒

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

โลกมนุษย์

๐ หนาวเหน็บเจ็บปวดปลื้ม ประดัง
สุขเหงาเศร้าเซซัง สลับได้
รักชอบชื่นชมชัง ดีชั่ว
อดอิ่มยิ้มหัวไห้ ผ่านถ้วนพบเห็น
๐ ยามทุกข์ฤาใช่ไหม้ ไม่มลาย
ถึงสุขสิมิวาย เวียนเศร้า
คราอดห่อนหิวตาย ไปตลอด
ใดครอบใดครองเข้า แต่ต้นจนปลาย
๐ ทุกมนุษย์แปรเปลี่ยนได้ เสมอเสมอ
วาดหวังวิมานเลอ- เลิศไว้
จริงจริงอาจจะเจอ แค่โศก
เคยโศกกลับสุขได้ ดั่งนี้มากมาย
๐ สิ่งใดสำเหนียกได้ โดยนิยาม
ชีวิตทุกผู้นาม ไหนแท้
ลองคิดลองครวญถาม ตนเถิด
ตกฟากไปจนแม้ เมื่อม้วยเป็นไฉน
๐ หายใจกลับออกเข้า ใช่หรือ
เสพสุขสังวาสฤา ใช่แล้ว
กินอยู่ตามอยากคือ ชีพใช่
หาสู่สังคมแพร้ว กระนั้นใช่ไหม
๐ มีมนุษย์ไม่น้อย เพียงตระหนัก
เกิดแก่เจ็บป่วยชัก เท่านั้น
ถือเป็นเช่นวัฏจักร จัดชีพ
เป็นอยู่ไปอย่างนั้น กว่าสุดท้ายมาถึง
๐ ลืมสำนึกในหน้าที่ ของมนุษย์
ลืมปันรักปริสุทธิ์ ประสานสร้าง
ลืมสรรสิ่งดีสุด สืบต่อ
ลีมอี่นอันรอบข้าง คิดเข้าแต่อัตตา
๐ เถิด..มนุษย์มาร่วมสร้าง โลกมนุษย์
เถิด..เดินทางอย่าหยุด ย่างเท้า
เถิด..สลัดสิ่งลวงหลุด จากโลก
เถิด..หมุนโลกกลับคืนเข้า โลกมนุษย์แท้ตามวิถี

ศักดิ์เรือง วลี / ๑๑ กันยา ๕๒

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

"พอเพียง เพียงพอ" สดุดี ร.๙ ณ วันที่ ๙ เดือน๙ ปี ๒๐๐๙

๑. พอมี ไม่มาก เกินไป
พอใช้ ไม่ขัด ไม่สน
พออยู่ ไม่ต้อง ดิ้นรน
พอทน ไม่ทุกข์ ระทม
๒. พอไป ไม่ท้อ พอหา
พอมา ไม่ขื่น ไม่ขม
พอนั่ง ไม่ตรอม ไม่ตรม
พอนอน ไม่ซม ไม่ซาน
๓. พอตื่น ชื่นจิต คิดสรรพ
พอหลับ เป็นอัน ฝันหวาน
พอให้ คนอื่น ชื่นบาน
พอรับ ขับขาน ผ่านไป
๔. พอจับ ทำมา ค้าขาย
พอจ่าย จำเป็น เข็นไหว
พอสอย พากเพียร เวียนไป
พอใช้ ไม่หด หมดตัว
๕. พอตั้ง ตนอยู่ กู้ก่อ
พอต่อ พอติด ปิดรั่ว
พอยิ้ม เปิดใจใช่ยั่ว
พอหัว ให้หาย คลายปม
๖. พอหุง พอซาว ข้าวปลา
พอหา พอเสาะ พอสม
พอแกง พอเกี่ยว เกลียวกลม
พอต้ม พอเติม ให้เต็ม
๗. พอทน มิใช่ จำทน
พอทาน ทำตน ข้นเข้ม
พอสู้ โรมรัน ทันเกม
พอไหว หวังเปรม ฤดี
๘. พอขึ้น ยามมี ที่ขึ้น
พอลง ไม่ฝืน คืนที่
พอก่อ ค่อยก่อ รอที
พอดี พอดู พอดล
๙. พอใจ พอจิต พอเจตน์
พอหัตถ์ พอเหตุ พอผล
พอคิด พอค่า พอคน
พอพล พอเพียง เพียงพอ ๐ ๐ ฯฯ
ขอถวายชัยมงคล ทรงพระเจริญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า ศักดิ์เรือง วลี
๙ /๙/๐๙

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

แพ้-ชนะ

ขณะที่เจ้าของบาดแผลกำลังเจ็บปวด
.......เจ้าตัวเชื้อโรคในบาดแผลกำลังร่าเริง
ขณะที่ผู้เสียสละกำลังปวดร้าว
.......ความเสียสละกำลังภาคภูมิใจในตัวของมัน
ขณะที่ผู้เห็นแก่ตัวกำลังยิ้มแย้ม
.......ยิ้มให้กับชัยชนะของตนเองที่มีอยู่เหนือคนอื่น
แต่....เจ้าความเห็นแก่ตัวเองกลับร้องไห้
ร้องไห้ด้วยความสมเพชนายของมันเอง
......พร้อมกันนั้น
......มันก็แอบสรรเสริญผู้พ่ายแพ้อยู่เงียบๆ
แพ้-ชนะ นั่นหรือ
.....มันอยู่ที่กติกาและผู้ตัดสิน

ศักดิ์เรือง วลี /๕ กันยา ๕๒

พิสุทธิ์

๐ เธอถือศีลห่มขาวพราวพิสุทธิ์
หมายยั้งหยุดความชั่วสิ่งมัวหมอง
เมินเสียงหมิ่นรายรอบตัวไม่มัวมอง
จิตใจต้องแกร่งกล้าเก่งเหลือเกิน ๐ ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี / ๕ กันยา ๕๒

เพื่อคน

.....ถ้าจักเหน็ดเหนื่อย
ขอเหน็ดเหนื่อย...
เพื่อผู้คน
.....ไม่ขอเหน็ดเหนื่อย
เพื่อภูตผี
.....ไม่ขอเหน็ดเหนื่อย
เพื่อเทพใดใด
.....ด้วยว่า
ฉันเป็นเพียงคน
ธรรมดา
ศักดิ์เรือง วลี / ๔ กันยา ๕๒

ชะบา

๐ เช้าเช้า ชะบาบาน
เท่ทนทาน ท้าแดดลม
บ่หอม หากดอมดม
ชื่นเชยชม ฉานชายตา ๐ ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี / ๔ กันยา ๕๒