วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รอปีใหม่

๑.รอคอย วันคืน ตื่นเต้น.....ไม่นาน ได้เห็น ปีใหม่
ปีกลาย ปลายปี ผ่านไป....หัวใจ ก็เต้น เช่นกัน
๒. ถึงวัน ประเดิม เริ่มปี.....เริ่มมี ความคิด ความฝัน
ปีใหม่ ทำไฉน ให้มัน....แปรผัน เป็นปี ที่ดี
๓.สิ่งที่ ทำได้ ไม่ต่าง....แนวทาง เดิมเดิม ไม่หนี
ทำวัน ทุกวัน ของปี....เป็นวัน เป็นปี เก่าไป
๔.แล้วกลับ มาตั้ง ตารอ....เพื่อขอ ให้ถึง ปีใหม่
มักเป็น เช่นนี้ เรื่อยไป....ไม่ได้ เป็นชิ้น เป็นอัน
๕.เอาเถอะ...ปีใหม่ ครานี้.....จักขอ บ่งชี้ หมายมั่น
อย่างไร จักต้อง ฝ่าฟัน....สร้างฝัน ให้มัน เป็นจริง
๖.อย่างน้อย ปีใหม่ ไม่ท้อ....ไม่ขอ เมินเลย เฉยนิ่ง
บากบั่น สร้างสรรค์ ประวิง....ไม่ทอด ไม่ทิ้ง แนวทาง
๗. ส่วนผล จักเป็น เช่นไร....ก็ไม่กังวล หม่นหมาง
รอวัน วัดผล ปลายทาง....ระหว่าง ปีโน้น อีกที ๐ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี /๒๖ ธันวา ๕๓

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เดือนหม่น

เดือนหม่น
๑. เมื่อเดือนหม่นคนหมางบ้างหรือไม่.....ด้วยเหตุใดไม่เปล่งปลั่งดังที่หมาย
เห็นกระต่ายร้องไห้ดังใกล้ตาย....จักดูดายต่อไปไม่ได้แล้ว
๒. โอ้ท้องฟ้าเคยไสวใสกระจ่าง....มีม่านพรางจึงมองไม่ผ่องแผ้ว
ทั้งหมอกควันกั้นฟ้าหนาเป็นแนว....คงไม่แคล้วม่านปิดมืดมิดไป
๓. เห็นดาวหมองมองดูหดหู่ยิ่ง....แสงดาวนิ่งไม่ระยับวับวาวใส
แม้ดาวศุกร์เคยสว่างพร่างอำไพ....ประกายไฟในดาวไม่พราวเลย
๔. ความผูกพันอันเคยดีนั้นมีแน่....ลึกลึกแท้ในใจไม่เปิดเผย
นึกเสียดายแสงดาวเดือนเหมือนที่เคย....กระไรเลยเศร้าหมองข้องใจจริง
๕. ถามผู้คนบนโลกโศกไหมนั่น....แสงทองอันส่องสุขถูกทอดทิ้ง
โปรดช่วยกันคลี่ม่านฟ้าอย่างจังจริง....เพื่อพึ่งพิงแสงเดือนดาวยืนยาวไป
๐ฯฯ
บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๓ ธันวา ๕๓

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แสงเทียนกับตะวัน


๐ ได้โปรดเถิดเมฆทะมึน
กรุณาเถิดสายลม
....ข้าผู้น้อยกำลังจุดเทียนกลางแสงแดด
โปรดอย่าออกมาปกป้องดวงตะวันเลย
...ข้าผู้น้อยกำลังบูชาแสงอันศักดิ์สิทธิ์
...ข้าผู้น้อยมิได้กระทำท้าทายใดใด
โปรดอย่าได้รบกวนเลย
...ข้าผู้น้อยกำลังขอพลังจากแสงอันยิ่งใหญ่
เมฆทะมึนเอย โปรดเลื่อนลอยออกไปเถิด
สายลมเอย อย่าได้พัดผ่านมาในยามนี้เลย๐๐ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด /๒๒ ธันวา ๕๓

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หอมเจ็ดชั้น

๐ ส่งกลิ่นหอมสู่ จาตุมหาราชิกา
แล้วนำพาอวลไอวนไปถึง
สรวงสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์
ลมรำพึงถึงสวรรค์ชั้น ยามา
๐ ละอองกลิ่นลอยด้นดั้นชั้น ดุสิต
นิรมิต นิมานรดี ที่หรรษา
ปรนิมมิตวสวัตตี มีปุญญา
หอมทั่วฟ้าแล้วหวนหันคืน สวรรค์บนดิน ๐ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๑ ธันวา ๕๓

สร้อยสายเพชร

๐ บรรจงไล่เรียงร้อย สร้อยสาย
เพชรพร่างอยู่พราวพราย เพริดพริ้ง
ดิน แดด ไม่ดูดาย ลมเร่ง
ธาราไม่ทอดทิ้ง ช่วยฟ้าเจียระไน ๐ฯฯ
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๑ ธันวา ๕๓

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สงครามน้ำ สงครามดิน

(ภาพแกะสลักฟาโรห์รามเสสที่ ๒ ในสงครามคาเด็ช)
๑. การสงครามอิงอาศัยในเหตุหลัก....โดยอ้างเอาเกียรติศักดิ์ต้องรักษา
อีกเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายอัตตา....หรือลงโทษาเหล่าริปูให้ปราชัย
๒. การฆ่าฟันรบพุ่งมุ่งอำนาจ....ชิงสิทธิ์ขาดให้คงอยู่ผู้ยิ่งใหญ่
สันติภาพจักเกิดมีเมื่อมีชัย....กับข้างใดข้างหนึ่งจึงเลิกรา
๓. คงเคยเห็นเคยรู้อยู่เสมอ....คงได้เจอการโรมรันผันทีท่า
รูปแบบของสงครามพัฒนา....เป้าหมายการรบราสารพัน
๔. อีกไม่นานคงเห็นสงครามน้ำ....ยกพวกนำเข่นฆ่าให้อาสัญ
เพื่อแย่งชิงทรัพยากรอันสำคัญ....ทั้งโรมรันรุกเข้าเอาที่ดิน
๕. พื้นดินแห้งรุมแย่งเอาแหล่งน้ำ....ดินชุ่มฉ่ำคนส่วนใหญ่ใฝ่ถวิล
ทำสงครามยื้อยุดยึดที่ดิน....ไว้ทำกินกันตายต่อต่อไป
๖. ไม่สนใจที่ไปหรือที่มา....ไม่คิดว่าน้ำนั้นมาจากไหน
ไม่สนใจว่าดินนั้นเจ้าของใด....เมื่ออยากได้ใช้กำลังเข้ายึดครอง
๗. รีบช่วยกันวางกฎกติกา....ก่อนสังคมภายหน้าจักหม่นหมอง
ก่อนสงครามดิน-น้ำ ทำเลือดนอง.....ก่อนถิ่นทองของไทยถูกไฟลาม
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / ๒๐ ธันวา ๕๓

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถามใจ

(ภาพใบโพสามสี เป็นรูปหัวใจสีขาว)
๑. ขอถามใจของหัวใจไหวไหมนั่น....โดนกระแทกกระทั้นหวั่นไหวไหม
โดนแรงบีบแรงบดกดข้างใน....ทั้งแรงใหญ่แรงน้อยคอยทุบตี
๒. เห็นน้ำอดน้ำทนนั้นสุดยอด....โดนตลอดยังทนจนได้ที่
ยิ่งทนทานยิ่งโดนสับทับทวี....แล้วแบบนี้จะทนไปได้กี่น้ำ
๓. เมื่อยามป่วยไข้รุมเข้าจนหนาวเหน็บ....เมื่อยามเจ็บยังโถมแรงแทงกระหน่ำ
เมื่อยามล้มก็ยังรุมกระทืบซ้ำ....คนจัญไรก็กระทำหยามพักตรา
๔. จึงถามใจของหัวใจยังไหวไหม....ถ้าทนได้ทนสู้อยู่เถิดหนา
ถ้าไม่ไหวเกินพิกัดเต็มอัตรา....จะหยุดเต้นก็ไม่ว่าหยุดไปเลย
ศักดิ์เรือง วลี /บ้านแมกไม้ ร้อยเอ็ด / เขียนไว้เมื่อ ๙ ธันวา ๕๓
หมายเหตุ วรรคที่เป็นสีน้ำเงิน ขอยืมมาจากบทบันทึกอันขมขื่นในบั้นปลาย
ชีวิตของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)ราชทูตคนสำคัยในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ท่านบันทึกไว้ว่า
"๐ ยามจนคนมันก็ดูหมิ่น....ไอ้หน้าส้นตีนมันก็หลู่ดูถูกได้
ชาติขี้ข้าก็ชะล่าบังอาจใจ....คนจัญไรก็กระทำหยามพักตรา
๐ ยามรวยราวจะโลดแผ่นดินเหิน....จะนั้งนอนยืนเดินเด่นสง่า
นี่ถึงคราวแล้วโอ้พยัคฆา....ต้องกลายเป็นวิฬาร์ไปตามกรรม"
อ่านแล้วสะใจมากเข้ากับชีวิตเราจริงๆ ..ถึงคราวตกอับเสือก็กลับกลายเป็นแมวไปได้เหมือนกัน